น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัว พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Woody Exclusive ซึ่งสัมภาษณ์โดย วู้ดดี้-นายวุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรชื่อดัง โดยตลอดการให้สัมภาษณ์มีนางพินทองทา คุณากรวงศ์ พี่สาว คอยให้กำลังใจตลอดเวลาระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่โรงแรม Rosewood Bangkok ซึ่งเป็นโรงแรมหรู ที่มีนางพินทองทา เป็นเจ้าของ
.
ทั้งนี้ในช่วงแรกน.ส.แพทองธาร ได้พูดถึงการเติบโตมาในครอบครัวชินวัตร สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณพ่อนั้น ภูมิใจที่คุณพ่อเก่ง มีอะไรถามได้ เป็นที่พึ่ง ตอน8ขวบ คุณพ่อเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เคยเข้าไปนั่งถ่ายรูปในกระทรวง ตอนอายุ14ปี คุณพ่อเป็นนายกฯ ในครอบครัวอบอุ่นมาก ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็น somebody มากๆ ไม่รู้สึกขนาดนั้น สิ่งที่เรียนรู้จากพ่อคือ การมีสติ ทำให้เราต้องรู้ตัวตลอดเวลา อะไรคือของจริง อะไรคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน
.
“ตอนนั้นก็โดนเยอะ อย่างข่าว มหาวิทยาลัย ข่าวอะไรก็คงออกไปเยอะ เป็นข่าวเชิงลบกับเรา แรกๆรู้สึกจิตใจพังเยอะ แต่ครอบครัวเป็นกำแพงให้ รู้สึกว่า เหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว คุณพ่อกับคุณแม่เขาจะมีวิธี การสื่อสารระหว่างครอบครัวเยอะ”
.
น.ส.แพทองธาร ระบุถึงเรื่องเอนทรานซ์ในอดีตว่า เรื่องนี้มันก็เก่ามากแล้ว เราผ่านกระบวนการของการสอบสัมภาษณ์ทุกอย่าง เขาสืบสวน สอบสวนหมดแล้ว เราก็เข้าเรียนได้ปกติ แล้วก็จบมา4ปี ตามปกติ
.
เมื่อให้เล่าย้อนอดีตไปถึงความรู้สึกกับการเมืองช่วงแรกๆ เธอได้อธิบายด้วยท่าทางอารมณ์ดีพร้อมกับระบุว่า อยากเป็นลูกรักพ่อเนาะ เป็นลูกสาวคนเล็ก อะไรที่พ่อทำเราก็ต้องชอบหมด (หัวเราะตาหยี) เหมือนเป็นการเอาใจนิดนึง พ่อไปตีกอล์ฟร้อนมากแต่ก็ไปด้วย การเมืองคือสิ่งที่พ่อทำ มันก็เลยทำให้เราอยากรู้ อยากเข้าใจแล้วก็อยากที่จะเหมือนอยู่เคียงข้างพ่อไปตลอด นึกขึ้นมาเหมือนเราจะไม่ชอบการเมือง มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้น สิ่งที่พ่อสอนตลอดคือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต พูดเสมอว่า เราอย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว
.
“แม้เราจะรู้สึกคุณพ่อเก่ง บางทีไม่เคยรู้สึกว่า ฉันเก่งที่สุดในห้อง ไม่เคยเป็น ก็จะเล่าเรื่องไปเจอคนนั้นคนนี้มา คนนั้นเก่งมาก คนนี้เก่งมาก เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าโอเคมากๆ เราอยากจะเรียนรู้ไปตลอดชีวิต จะถ่ายทอดให้ลูกต่อ ให้หลานต่อ เราไม่ต้องกลัวที่จะเรียนรู้ เรียนรู้ไปเลย ในสิ่งที่เราไม่รู้
พิธีกรถามถึงเรื่อง Passion ในวันนี้ นส.แพทองธาร กล่าวว่า ตั้งแต่มีลูก อยากทำให้ประเทศน่าอยู่สำหรับลูกเรา อีกหน่อยลูกเราจะมีเวทีหรือไม่ หากอยากจะแสดงศักยภาพเขาขึ้นมา”น.ส.แพทองธาร กล่าว
.
เมื่อถามว่า อยากให้อะไรเกิดขึ้นเร็วที่สุด สำหรับประเทศชาติบ้านเรา น.ส.แพทองธาร ระบุว่า อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลค่ะ คิดว่ารู้สึกว่า มันนานล่ะที่มันเป็นอยู่แบบนี้ คิดว่าประเทศมันต้องไปต่อ มันต้องไปต่อ ตอนนี้มันถอยหลังอย่างเดียว จากการที่คุณพ่อออกไป ประเทศหรือเศรษฐกิจทุกอย่าง ก็ยังไม่เคยดีเท่าวันนั้น
.
“วันที่19กันยายน 2549 เป็นวันที่น่ากลัวมากๆสำหรับครอบครัวเรา วันนั้นเป็นวันใกล้สอบ ไปถึงคอนโดมิเนียมของเพื่อน กำลังจะพูดคุย หยิบหนังสือมาอ่าน แม่ก็โทรมา กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ ออกมาเลย มีรถถังออกมา ในใจคืองง ไปหมดเลย รถถังคืออะไร เราต้องไปไหน กำลังจะขับรถกลับบ้าน แม่ก็โทรมาอีก กลับบ้านไม่ได้ ทหารปิดซอยหมดแล้ว เลยขับไปที่ Safe House ก็อยู่กับคุณแม่สองคน พี่ชายอยู่คนละที่ พี่สาวกำลังเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ คุณพ่ออยู่สหรัฐอเมริกา อิ๊งไปเจอคุณแม่ก่อน ก็กลัว เป็นความกลัวมากๆ ตอนนั้นยังอยู่ในชุดมหาวิทยาลัย แล้วก็โทรคุยกับ พี่เอม ก็ร้องไห้ ถามว่าทุกคนโอเคหรือไม่ เราไม่แน่ใจว่า จะมีอะไรมาถึงตัวเราหรือไม่ มันกลัวมากกว่า”น.ส.แพทองธาร กล่าว
.
เมื่อการสัมภาษณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ นส.แพทองธาร เหมือนกำลังจะร้องไห้ จากนั้นเล่าต่อไปอีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือ เป็นห่วงคนในครอบครัว พี่เอมก็โทรมา ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอยู่คนเดียว อยู่กับพ่อก็หนักหนา เพราะโดนปฏิวัติที่ไม่รู้ตัวมาก่อน ปฏิวัติโดยที่ไม่รู้ล่วงหน้า พี่เอมก็เครียดเพราะอยู่กับพ่อสองคน ไม่รู้ว่าจะต้องคุยอะไร พูดอะไร บอกว่าไม่เป็นอะไรนะ ก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะ get well soon (จะจบลงเร็วๆนี้) มันเป็นอะไรอีก Level (ระดับ)หนึ่ง ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ไม่เชื่อว่าพูดแล้วก็ยังรู้สึก
.
เมื่อรู้แล้วจะไม่ได้เจอหน้าพ่อง่ายๆแล้วทำใจอย่างไร ปรับจูนอย่างไร ลูกสาวนายทักษิณ กล่าวว่า ดีใจที่มีเครื่องบินพาณิชย์ทั่วไป ดีใจมาก ที่เรายังสามารถบินไปเจอกันได้ คุยกับคุณแม่แรกๆยังพูดตลอดเวลา ดีนะยังได้ยินเสียงกัน
นส.แพทองธารกล่าวอีกว่า เป็นคนที่สนิทกับพ่อมาก ตั้งแต่เด็กตีกอล์ฟกับพ่อ คือไปด้วย พ่อไปหาเสียง ไปด้วยไม่เคยบ่น ไม่เคยรู้สึกอากาศรอบข้าง ไม่มีความรู้สึก เพราะเราติดพ่ออยากอยู่ข้างๆเขา เป็นคนกล้าบอกเขาทุกเรื่อง ตั้งแต่เด็กจนโต บอกหมดเลย
.
ขณะที่สนทนามาถึงตอนนี้ วู้ดดี้ได้ตัดบทพร้อมปรารถขึ้นมาว่า มิน่าพ่อถึงบอก ถ้าอยากจะรู้กลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ให้ถามอิ๊ง เพราะว่าได้กระซิบบอกลูกสาวเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อเมื่อไหร่จะกลับมา หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ตอบว่า คุณพ่อบอก ห้ามบอกพี่วู้ดดี้ พ่อบอกว่าจะออกรายการพี่วู้ดดี้เหรอ ชู๊วส์ เงียบไว้ก่อน
.
“เมื่อถึงเวลาทุกคนจะรู้ค่ะ ส่วนจะรู้จากตัวเองหรือพ่อ เอาไว้ว่ากันอีกที เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ แต่ก็รอคอยวันนั้น รอคอย เชื่อว่าทุกคนในครอบครัวรอคอย สิ่งที่พูดกัน ไม่ได้พูดถึงรูปแบบของการกลับมามากมาย จะพูดกันในเรื่องแบบว่า กลับมาแล้วอยากทำอะไร บอกคุณพ่อว่า กลับมาแล้วจะให้อยู่บ้าน เลี้ยงหลาน ไม่ต้องทำงานเยอะแล้ว”น.ส.แพทองธาร ระบุ
.
เมื่อถามว่า ถ้าพ่อได้มีโอกาสกลับมาคิดว่าในวันนี้พ่ออยากจะทำอะไรให้กับประเทศชาติ นส.แพทองธาร ระบุว่า ที่คุณพ่อพูดเสมอคือ อยากจะฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อน เพราะเขาพูดเสมอ ปากท้องคนไทยตอนนี้ลำบากมาก เป็นเรื่องที่เขากังวลมาก
.
เมื่อถามว่า คิดว่าจะมีโอกาสสามารถทำงานร่วมกับนายกฯคนปัจจุบันได้หรือไม่ นส.แพทองธาร กล่าวว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเพื่อไทย ทำงานในสภาฯอยู่แล้ว ถ้าถามส่วนตัวนะ ก็เปลี่ยนไหมอ่ะ มันก็นานแล้วเหมือนกันน่ะ ถ้าอ่านอะไรในโซเชียลบ้างมันก็จะเห็น คนเขาลำบากจริง แล้วเขาก็อยากได้การเปลี่ยนแปลงจริงๆ อิ๊งว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่มันต้องเปลี่ยน
.
ในตอนท้าย เมื่อถามว่า เมื่อลงสนามการเมือง กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ เป็นสิ่งที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามมายังคุณ นส.แพทองธาร กล่าวว่า เอาจริงๆนะ เคยคิดไหมเหรอ คิดแต่ไม่ได้คิดไปในแง่นั้น คือแค่รู้สึกว่า มันต้องดีขึ้น การเมือง เศรษฐกิจ ความคิดของประเทศ มันต้องดีขึ้น มันต้องก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว เราจะไม่หยุดอยู่ที่เดิม ความยุติธรรมต้องชัดเจนขึ้น ทุกอย่างมันต้องเคลียร์ขึ้น โลกโซเชียลมันแรง อย่างที่พี่บอก ดีค่ะ
.
ThePOINT #ข่าวการเมือง #อุ๊งอิ๊ง #แพทองธารชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #ทักษิณชินวัตร #วู้ดดี้