วันที่ 28 สิงหาคม 2564 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีการจับกุมพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หรือผู้กำกับโจ้ อดีตผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ โดยระบุว่า“ดีลลับ โจ้พลิกลิ้น ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา” อิทธิฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ เบื้องหลังการจับกุม “โจ้ มือคลุมถุงฆ่า”ด้วยเหตุที่มีแบ็คผู้ใหญ่ดี จึงมีการตกลง “ดีล” สำคัญในการมอบตัว
.
ชนิดที่ว่า จู่ๆ อดีตผู้กำกับฯโจ้ ก็เหาะมาปรากฎตัวที่บางแสน มอบตัวคนเดียว ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบว่ามาได้ไง ใครพามา จำอะไรไม่ได้ แรกๆ ไหนว่าข้ามชายแดนไปเมียวดีพม่าแล้ว ข่าวหลอกตามเคย ที่แท้ไม่ได้ไปไหน อยู่กรุงเทพฯ นั่งวางแผนในบ้านผู้ใหญ่นี่เอง พอถึงเวลาก็ขับออกจากกรุงเทพฯ ไปสภ.แสนสุข บางแสน จังหวัดชลบุรี แค่ครึ่งชั่วโมงถึง ไม่เสี่ยงผิดคิวอีก
.
ข้อต่อสู้คดีที่สำคัญอยู่ที่ “กระทำการเพื่อขยายผลในการค้นหายาเสพติดรายใหญ่” ไม่ได้มีเจตนาฆ่า เพราะที่คลุมถุงเพียงเพื่อไม่ให้จำหน้าได้ ไม่ต้องการให้ตาย แถมยังช่วยเหลือด้วยการปั๊มหัวใจ ต่อจากนี้ จึงเป็นกระบวนการกฎหมายที่มี “อิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์” เข้ามาอีกมาก เริ่มจากคดีที่มีคนตายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ จะต้องมีการ “ไต่สวนการตาย”
.
สำนวนชันสูตรพลิกศพ ต้องส่งให้ศาลไต่สวนก่อนตามกฎหมาย แม้ศพจะถูกเผาไปแล้วก็ตามเหมือนกรณี 6 ศพที่วัดปทุมฯ อัยการต้องทำสำนวนการชันสูตรพลิกศพร่วมกับตำรวจด้วยเพื่อความโปร่งใส และให้เสร็จภายใน 30 วัน ตามกฎหมายอีก เมื่อสำนวนชันสูตรพลิกศพเรียบร้อย (แม้ไม่มีศพให้ชันสูตรเพราะเผาไปแล้ว) อัยการต้องส่งสำนวนให้ศาลไต่สวนการตาย
.
อดีตผู้กำกับโจ้ เป็นตำรวจ ถือเป็นเจ้าพนักงาน หากกระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำคดี แต่โดยปกติ ป.ป.ช. ไม่รับทำเรื่องแบบนี้ เพราะกำลังคนและความเชี่ยวชาญไม่มี ป.ป.ช. ถนัดแต่คดีเอกสาร เช่น การฮั้วประมูล ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนการยื่นฟ้อง ต้องฟ้องไปยังศาลคดีทุจริต ซึ่งคงต้องหารือกันว่าไปศาลทุจริตกลาง หรือศาลทุจริตภาค 6 ที่เกิดเรื่อง คงต้องหารือกันอีกที
.
อัยการจะเป็น “กลจักรกฎหมาย” สำคัญ ที่ต้องร่วมกับตำรวจในการทำคดีนี้ และ ป.ป.ช. ต้องมีมติชัดว่า “ไม่ดำเนินการเอง ให้ดำเนินคดีตาม ป.วิอาญา กฎหมายปกติ” คดีนี้มีแต่ตำรวจกระทำความผิดที่ล้วนอยู่ในหน่วยเดียวกัน แม้ปรากฏในคลิปชัดเจน แต่ไม่มีพยานบุคคลอื่นใด “ดีลของโจ้” มามอบตัวแล้วตีบทแตก ยอมให้พูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ขยายผลเรื่องยาเสพติดรายใหญ่ ไม่ได้มีเจตนาฆ่า ลูกน้องไม่เกี่ยว นายสั่งไม่มี เรื่องทุจริตไม่เคย” เพื่อกันไว้รับจบที่ตัวเองคนเดียว
.
อีกทั้งกระทำเป็นครั้งแรก ไม่ได้เอาถุงคลุมเพื่อฆ่า แต่มีเจตนาไม่ต้องการให้เห็นหน้า เพราะผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล เครือข่ายใหญ่ ต้องการขยายข้อมูลยาเสพติดเพิ่มเติม จึงเป็นการกระทำผิดพลาดพลั้งมือ หาใช่เจตนาฆ่าให้ตายด้วยการทรมานหรือไตร่ตรองไว้ก่อนไม่
.
ติดคุกน่ะติดแน่ แต่ด้วยโจ้ “กำของดี” ในมือไว้มาก และไม่โบ้ยแฉทั้งลูกน้อง ทั้งนาย ทำงานเป็น “ลูกรัก” ด้วย เก่งวิธีเอาใจผู้ใหญ่ จัดให้สม่ำเสมอ ที่สำคัญยังมีเหลืออีกบานเบอะ หากรับจบคนเดียว “ยอมเจ็บอย่างเสือ ไม่เห่าอย่างหมา” ด้วยอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ของกระบวนการกฎหมาย ใช้ “เป่าเสก” คาถา “นโมหาย ธรรมโมรอด” มีให้เห็นมานักต่อนัก
.
ไม่ว่าทั้งคดีบอส คดีกำพลวิคตอเรีย ที่ตอนนี้หายตัวไปหมด และหากไม่มีใครกระตุก ป่านนี้กลับมาเดินเล่นที่เมืองไทยกันแล้ว แม้แต่ขนาด “มันคือแป้ง” ยังอยู่กระหึ่มก้องในโสตประสาทคนไทยและเทศ แถมยังมีอีกมากที่ไม่เห็นเป็นข่าว เหล่านี้ล้วนเป็นอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น
.
ว่ากันว่า “เสือย่อมไม่กินเนื้อเสือฉันใด ตำรวจย่อมไม่ฆ่าตำรวจที่ตามจับคนร้ายขายยา แล้วพลั้งมือท่ายาก ทำการปั๊มหัวใจไม่เป็น ทั้งมีเจตนาเอาข้อมูลขยายผล สกัดตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่เพื่อปกป้องสังคมเยาวชน ฉันนั้น”แบบนี้แล้ว จะไม่เห็นใจคนทำงานกันบ้างหรือ?
.
ดีลอาจจบที่คุกแน่ แค่ไม่นานเกินรอ แล้วกลับมาทำงานเป็นมือไม้เบื้องหลังได้ ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะไม่ได้ไปฆ่าคนดีตายเสียที่ไหน? คนตายมันขายยาฆ่าลูกหลานคนไทย อย่างนี้นี่เอง โจ้ถึงยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย ที่ยังอีกยาวไกล
.
แบบนี้เรียก “รู้งาน” สถานการณ์ตอนไหนต้องเร็ว และตอนไหนต้องช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ติดคุกน้อย ออกเร็ว ดีลจบลงด้วยการออกมาแบบ วิน-วิน จับตัวโจ้ได้ นำมาแถลงข่าวพร้อมยอมรับต่อหน้ากล้องและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ถึงเวลากลับไม่รับสารภาพ ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอสู้คดี ทั้งที่หลักฐานภาพชัดเป็นประจักษ์พยาน เพราะหากไปยอมรับสารภาพ ก็จบเร็ว จบหนัก หาใช่ที่ตกลงกันไม่ว่า “จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย”
.
“ชูวิทย์”แฉดีลลับ!!”ผกก.โจ้”พลิกลิ้นปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ชี้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เบื้องหลังการจับกุม
- Advertisement -