ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง เผยแพร่บทความเรื่อง “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ตอนที่ 14: การให้ยกเลิก MOU2544 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และการทบทวนไม่ให้ยกเลิกสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” มีเนื้อหาโดยละเอียดดังนี้
ในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี (17 ธ.ค. พ.ศ. 2551 – 5 ส.ค. พ.ศ. 2554) ได้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชาหลายครั้ง แต่ในที่สุดได้มีการให้ยกเลิก MOU 2544 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. พ.ศ. 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หารือข้อราชการกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ในโอกาสการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของสมเด็จฯ ฮุน เซน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือของสองประเทศ ในครั้งนั้นได้มีการหารือปัญหาสำคัญต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงปัญหาเขตแดนทางบกและทางทะเลด้วย แต่ไม่มีการเปิดเผยผลการหารือต่อสาธารณะ ต่อมาวันที่ 16 มิ.ย. พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) โดยเปลี่ยนให้รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งในตอนนั้นคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หลังจากนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้มีโอกาสพบกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. พ.ศ. 2552 เพื่อหารือเรื่องการแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างกัน ซึ่งภายหลังเมื่อวันที่ 12 ก.ย. พ.ศ. 2554 สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้เปิดเผยว่า ในครั้งนั้นได้พบกับนายสุเทพที่บ้านตนที่ตาเคมา แต่เป็นเรื่องแปลกที่นายสุเทพได้เอาแผนที่บล็อกน้ำมันในทะเลมาด้วย รวมทั้งได้แจ้งว่านายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งเขาให้มาเจรจากับตนให้เสร็จภายในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นเขาไม่ต้องการเจรจากับนายซก อัน แต่ต้องการเจรจากับตนเท่านั้น ตนจึงได้แจ้งไปว่าตนมีนายซก อัน เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้ ตนจึงไม่สามารถเป็นคู่เจรจาได้ นอกจากนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังกล่าวขอให้ฝ่ายไทยไปตรวจสอบให้ถูกต้องตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทยในเรื่องการมาลักลอบเจรจาลับดังกล่าว
นายสุเทพจึงได้ติดต่อนัดหมายกับนายซก อัน จนในวันที่ 1 ส.ค. พ.ศ. 2552 จึงได้พบหารือกับนายซก อัน ที่ฮ่องกง เป็นครั้งแรก ซึ่งนายสุเทพได้เปิดเผยภายหลังว่า ได้มีการหารือเพื่อขอให้มีการจัดการประชุมขึ้นเพื่อเจรจาในเรื่องที่ค้างอยู่จากรัฐบาลก่อน ๆ โดยมีเรื่องพื้นที่พัฒนาร่วมในทะเลอยู่ด้วย ซึ่งนายซก อัน ได้แจ้งสิ่งที่ได้เจรจากับรัฐบาลก่อน ๆ ไว้แล้วให้ทราบว่า สำหรับพื้นที่พัฒนาร่วมนั้นได้มีการแบ่งเป็นโซน ๆ โซนที่ใกล้ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นจะได้แบ่งผลประโยชน์มากกว่า ส่วนโซนที่อยู่ตรงกลางให้แบ่งผลประโยชน์ฝ่ายละครึ่ง แต่ความเห็นส่วนตัวของนายซก อัน แล้ว อยากให้แบ่งเป็นตารางหมากรุกแล้วแต่ละฝ่ายจับฉลากว่าฝ่ายใดได้ตรงไหน นายสุเทพจึงได้แจ้งนายซก อัน ว่าทั้งหมดต้องไปเจรจาที่ประเทศไทย ซึ่งตนเมื่อเดินทางกลับไทยแล้ว จะจัดทำกรอบเจรจาเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย หากได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว จะได้สามารถดำเนินการต่อได้ และนายสุเทพได้เสนอด้วยว่าพื้นที่รอบ ๆ เขาพระวิหารน่าจะเอามาทำเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมในลักษณะเดียวกันด้วย นอกจากนี้ นายสุเทพได้เปิดเผยด้วยว่า นายซก อัน บอกว่าจะไม่เจรจาเรื่องเขาพระวิหารและเรื่องเกาะกูด แต่ตนได้แย้งเรื่องเกาะกูดว่าการจะแยกพื้นที่ทางบกและทางน้ำเป็นหลักที่ทำได้ แต่จะแยกเกาะไม่ได้เนื่องจากมีปัญหาที่กัมพูชาลากเส้นผ่าเกาะกูด
ต่อมาในวันที่ 4 พ.ย. พ.ศ. 2552 รัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งยืนยันไม่ส่งตัวนายทักษิณให้กับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหากได้รับการร้องขอจากไทย ในวันที่ 5 พ.ย. พ.ศ. 2552 กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ออกแถลงการณ์ว่า การแต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาของกัมพูชาดังกล่าว ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และเป็นการปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย รวมทั้งทำให้ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ส่วนบุคคลอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทำให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องทบทวนสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และดำเนินการเรียกเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ กลับ ทบทวนพันธกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา และทบทวนความร่วมมือต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการกับกัมพูชา
ต่อมาในวันที่ 6 พ.ย. พ.ศ.2552 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้แถลงกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแจ้งการยกเลิก MOU 2544ต่อกัมพูชาเนื่องจากการที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจาภายใต้ MOU 2544ทั้งนี้เพราะนายทักษิณเกี่ยวข้องโดยตรงในการผลักดันให้จัดทำ MOU 2544และรับรู้ท่าทีในการเจรจาของฝ่ายไทย รัฐบาลไทยจึงไม่อาจดำเนินการเจรจาภายใต้ MOU 2544ได้อีก นอกจากนี้ เรื่องพื้นที่ทางทะเลที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิทับซ้อนกันซึ่งมีศักยภาพทางทรัพยากรธรรมชาติสูง เป็นเรื่องสำคัญต่อผลประโยชน์ของชาติ การเจรจาเรื่องนี้จึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอย่างกว้างขวาง กระทรวงการต่างประเทศจึงเห็นสมควรดำเนินการเรื่องนี้โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการเจรจาภายใต้กรอบของ MOU 2544ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาไม่มีผลคืบหน้าเป็นรูปธรรม จึงเห็นควรให้ทั้งสองประเทศใช้แนวทางการเจรจาอื่นตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อให้ได้ทางออกที่เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 และให้นำเรื่องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นการดำเนินการเพื่อยกเลิก MOU 2544 ของกระทรวงการต่างประเทศไม่มีความคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น จนในวันที่ 9 ส.ค. พ.ศ. 2553 นายกษิต ภิรมย์ ได้ตอบกระทู้ถามของนายคำนูญ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา เกี่ยวกับการยกเลิก MOU 2544ว่า การยกเลิก MOU 2544จะต้องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกำลังศึกษาพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาต่อไป โดยได้จ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศทางกฎหมายทะเล 3 คนมาช่วยทำงาน และได้ตั้งเป้าหมายให้เรื่องนี้เสร็จก่อนสิ้นปี 2553 ตอนนี้มีเวลาเหลืออีก 2-3 เดือนที่จะเร่งทำงาน แต่ในที่สุด MOU 2544 ไม่ได้ถูกยกเลิกในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 25 พ.ย. พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบการปรับองค์ประกอบ JTC (ฝ่ายไทย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลับมาเป็นประธานอีกครั้งหลังจากได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ต.ค. พ.ศ. 2553 และได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 พ.ย. พ.ศ. 2553 นอกจากนี้ยังมีมติให้นายเกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เป็นที่ปรึกษาของ JTC (ฝ่ายไทย) ด้วย ทั้งที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกเลิก MOU 2544ไปหนึ่งปีก่อนหน้านี้แล้ว
ต่อมาในสมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2557 กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีทบทวนมติการให้ยกเลิก MOU 2544 เมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยให้เหตุผลว่าจากการหารือทีมที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างชาติ คณะกรรมการพิเศษด้านอนุสัญญาต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า MOU 2544 ยังมีประโยชน์ และมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติให้ใช้ MOU 2544 ในการดำเนินงานต่อไป และต่อมาในวันที่ 9 ธ.ค. พ.ศ. 2557 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง JTC (ฝ่ายไทย) โดยให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เป็นประธาน JTC (ฝ่ายไทย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
จากการสืบค้นข้อมูลมติคณะรัฐมนตรีจาก Website ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (https://resolution.soc.go.th) ไม่พบมติคณะรัฐมนตรีให้ยกเลิก MOU 2544 เมื่อปี พ.ศ. 2552 และทบทวนมติดังกล่าวเมื่อปี 2557 จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าทำไมจึงไม่เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรีทั้งสองครั้งดังกล่าวต่อสาธารณะ
……….
#Thepoint #Newsthepoint
#สุวันชัยแสงสุขเอี่ยม #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ
#ประยุทธ์จันทร์โอชา #MOU2544 #ไทยกัมพูชา