วันที่ 25 มกราคม 2568 ดร.ธนัช โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว
เรียน สื่อมวลชนและประชาชนชาวไทยทุกคน
ข้าพเจ้า ดร.ธนัช กรศุภกิจ อาจารย์ประจำสาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ(หลักสูตรนานาชาติ) สังกัดคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ขอใช้โอกาสนี้ แสดงความเสียใจและรวมถึงประณามเหตุการณ์ ที่นายเสรี เศรษฐีนามวงศ์ ขับรถชนไรเดอร์จนถึงแก่ชีวิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดถ้ามีการควบคุมสติให้ตื่นรู้ก่อนที่จะทำอะไรลงไปแล้วแก้ไขไม่ได้
ข้อมูลที่ผมจะให้มาจากประสบการณ์ตรง ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งในแวดวงวิชาการและมีหน้าที่สอน ประศาสน์ความรู้ที่ถูกต้องให้ลูกศิษย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีและดูแคลนประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ครั้งนี้ผมเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้เพื่อขอทำความเข้าใจกับประชาชนชาวไทย รวมถึงผู้มีอำนาจในการบัญญัติคำที่ใช้เฉพาะของชาวไทยที่มีเชื้อสายต่างจากเชื้อสายไทย จีน มลายู ฯลฯ
เรื่องคำเฉพาะ ของลักษณะบุคคล “บัง” ผมขอใช้ประสบการณ์โดยตรง อธิบาย
โดยจะขอฝากไปถึงราชบัณฑิตสถาน(ถ้าไปถึง)ด้วยนะครับ
ผมเกิดในครอบครัวชาวซิกข์เป็นรุ่นที่สามต่อมาจากคุณพ่อ
คุณปู่ คุณตาและคุณย่า อพยพมาจากทางตอนเหนือของอินเดียตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่2 ส่วนคุณยายเกิดที่จังหวัดราชบุรี
ชีวิตวัยเด็กผมปกติ เหมือนเด็กทั่วไปครับไปโรงเรียน เรียนหนังสือ ถูกสอนมารยาทไทย ความเป็นไทยต่างๆ สอนให้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (ผมเรียนโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาไทยถึงประถม6ครับ จึงอาจพูดภาษาไทย ใช้ภาษาไทยคล่องกว่าน้องที่เป็นข่าว)
ตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมจะมีผมยาวแล้วม้วนจุกอยู่คนเดียว ในห้องเรียน เพื่อนๆจะชอบเรียก อาบัง ซึ่งเป็นการเรียกลักษณะเหยียด ล้อเลียน ขบขัน ตอนนั้นก็โกรธนะครับบอกเขาว่าเราไม่ใช่บังขายถั่วที่คุณเข้าใจ
คือถ้าจะให้ เปรียบเทียบคนซิกข์ที่ไม่ชอบถูกเรียกว่า อาบังเพราะนอกจากจะเป็นอารมณ์เหยียดเหมือนที่ชาวไทยเชื้อสายจีนโดนเรียกว่า“เจ๊ก” นั้นละครับ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้เลย และไม่มีพจนานุกรมฉบับไหนๆ มีระบุคำว่า อาบังเป็นคำเรียกชาวอินเดียหรือชาวซิกข์ครับ
ทั้งนี้ คุณวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศและดำเนินรายการชาวไทยเชื้อสายอินเดียได้โพสต์อธิบายดังนี้
“คำว่าอาบังนั้นเป็นคำในภาษาบาฮาซ่า ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในอินโดนีเซีย แปลว่าพี่ชาย แต่ไม่มีคำ ๆ นี้ในภาษาอินเดีย จึงควรที่จะใช้คำนี้เรียกชาวอินโดนีเซียมากกว่า”
ถ้าตั้งคำถามมาที่ผม ซึ่งอาชีพทำให้เจอผู้คนใหม่ๆตลอดเวลา จึงเลือกที่จะอยู่กับมันและทำความเข้าใจดีกว่าครับ เพราะเราก็รู้ความหมายของคำนี้ ว่าแปลว่าพี่ชาย เป็นคำที่ชาวมลายู ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามใช้ในการเรียก ”พี่ชาย“ คือส่วนตัวเราโตขึ้นเราเข้าใจโลกมากขึ้น ใครเรียกเรา อาบัง ด้วยความสุภาพ เราก็ตอบครับ เพราะเขาไม่รู้ แต่บางอาชีพไม่รู้ไม่ได้เพราะมีผลต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ
เหมือนคนไทยที่ชอบเกาหลี ก็เอาคำว่าโอปป้า(แปลว่า พี่ชาย) ซึ่งมาจากภาษาเกาหลีมาใช้เรียก ดารา นักร้องเกาหลีหรือคนไทยที่มีลุคเกาหลี การเรียกไม่เชิงใช่เชิงเหยียดแต่เป็นการชื่นชมรูปลักษณ์
ที่นี่ เวลาเจอไรที่ไม่ชอบ ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นเชิงลบมันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ปัญหาคือ ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับได้ เพราะบางคนก็ถูกยกย่องเชิดชูเป็นอาจิณ เมื่อใดรู้สึกถูกกดขี่ก็จะมีความไม่สบายใจ หรือเกิดการต่อต้าน
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นมาตลอดช่วงชีวิต คนไทยส่วนใหญ่ชอบคิดว่า ผู้ใดมีหน้าตาออกหน้าแขกๆจะคิดว่าเป็นอิสลามไปทั้งหมดโดยไม่เข้าใจว่าชาวซิกข์คืออะไร
ยกตัวอย่าง เพื่อนๆจะชอบล้อเลียน ตอนที่เราเป็นเด็ก เช่น ”ยืนกินข้าวเหนียวหมูปิ้งครับ“ เพราะคนไทยร้อยทั้งร้อย30กว่าปีก่อน คิดว่าแขกไม่กินหมู แต่ชาวซิกข์กินหมูได้ครับ เราจะไม่ทานเนื้อวัวครับ (แต่ในหมู่ชาวซิกข์เองก็ยังมีนิกาย ย่อยไปอีกนะครับ บางนิกายเช่น นามธารี ไม่ทานเนื้อสัตว์เลยครับ แล้วยังจะมีปัจเจกบุคคลที่ไม่ทานเนื้อสัตว์แต่ทานไข่)
เอาเป็นว่าเรื่องความแตกต่างไว้ไปเรียนในวิชาศาสนาโลกกันดีกว่าครับ(ผมโชคดีเคยได้เรียนเลยมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาอื่นๆอยู่บ้าง)
ปัจจุบันสถานการณ์เรื่องนี้ดีขึ้นเยอะครับ เราเห็นcross-culture marriage กันเยอะมาก ชาวไทยแต่งงานกับชาวซิกข์ ชาวไทย-จีนแต่งกับชาวไทย-ซิกข์ คนไทยแต่งกับคนอินเดียนับถือฮินดู อะไรเช่นนี้
ผมเองสมัยเรียนและปัจจุบันมีเพื่อนๆในมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมงานเป็นคนไทยไม่น้อยครับ
เพื่อนๆรอบข้างผมส่วนใหญ่ จึงเข้าใจว่าทำไมไม่ควรเรียกชาวซิกข์ว่า อาบัง
ที่สำคัญชาวซิกข์และชาวอินเดียมีคำเรียกพี่ชายเป็นของตัวเองครับเป็นภาษาปันจาบี Veer Ji (วีร(ลากเสียงยาว) ยิ อารมณ์เดียวกับการเรียก คุณพี่ครับ) Pa (ป๋า ออกเสียงเหมือนป๋าที่เป็นอาเสี่ยค่าเฟ่ยุค80-90 แต่ความหมายไม่เหมือนกัน ป๋าของชาวซิกข์ มีความหมายว่า พี่ชาย ซึ่งน้องสาวผมเรียกผมเช่นนี้)
ส่วนที่ชาวซิกข์บางกลุ่มถูกเรียกว่า“นายห้าง” ก็เป็นที่ปัจเจกบุคคลครับ เพราะชาวซิกข์ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของกิจการค้าขายเลยถูกเรียกเช่นนี้ “ซึ่งก็ไม่จำเป็นนะครับ” ทำงานกับคนไทยก็ถูกเรียก ว่าพี่ น้อง หรือคนไทยที่ทำงานด้วยกันมานานก็จะเรียก ”ป๋า“ (ป๋าที่สื่อว่าพี่ชายครับ)
ส่วนที่ฝากถึงราชบัณฑิตที่บัญญัติคำว่าอาบังไว้ใช้เรียกแขกอินเดีย มันอาจถูกบัญญัติมานานแล้ว แต่มันอาจไม่ถูกต้องนะครับ ในประเทศไทยมี สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา ตั้งอยู่ที่ถนนจักรเพชร หรือที่รู้จักในนาม วัดซิกข์ ทำไมไม่ขอการรับรองหรือสอบถาม สรรพนาม หรือคำบัญญัติต่างๆที่ใช้ในการเรียก ชาวซิกข์ เช่นคำว่าพี่ชาย แล้วบัญญัติใหม่โดยมีการรับรองละครับ อันนี้ขอฝากผู้มีอำนาจรับไปพิจารณาครับ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยหลังเหตุการณ์นี้คือความเกลียดชังที่ถ้าโถมในสังคมซึ่งถูกปรุงแต่งด้วยโลกโซเชียล บางคอมเมนท์ นอกจากด่าผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยคำหยาบคายแล้ว ยังมีไล่ให้ชาวอินเดียที่ถือสัญชาติไทยกลับอินเดียด้วย
ด้วยสัตย์จริงคำพูดนี้ ไม่สมควรครับ เพราะ เกิดบนแผ่นดินไทย คนทุกคนคือคนไทยครับ
ส่วนตัวถ้าผมและคนอินเดียเชื้อสายซิกข์หลายๆคนจะไปอินเดีย “ต้องขอวีซ่านะครับ” ไปในฐานะนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำครับ ไม่ใช่ผู้พักอาศัยถาวร ไม่ได้ถือสองสัญชาติ เราคือชาวไทย เชื้อสายอินเดีย
สุดท้ายนี้ฝากถึงคนทุกคนที่ได้อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ว่า ในชีวิตเราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เมื่อโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับชีวิตเราหรือคนใกล้ชิดตัวเรา เราใช้ความเจ็บปวดของผู้อื่นมารู้สึกและเรียนรู้ที่จะป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมแบบนั้น มันเกิดขึ้นกับชีวิตเราก็ได้นะครับ ทุกสังคม ทุกเชื้อชาติมีทั้งคนดีและไม่ดี อย่าเกลียดชังกันเลยครับ🙏🏻
ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งนะครับเมื่อเราอยากให้ใครปฎิบัติกับเรายังไง เราควรปฏิบัติแบบนั้นกับเขา
คิดดี พูดดี ทำดี พูดให้น้อย พูดแต่ความจริงและที่สำคัญพูดเมื่อจำเป็น ชีวิตจะไม่ยากเกินไปครับ
ด้วยรักและศรัทธา
ดร.ธนัช กรศุภกิจ (อ.แซนดี้)
#Newsthepoint #อ.แซนดี้ #นายห้าง#เสรี