หน้าแรกเศรษฐกิจ‘เจพี มอร์แกน’ ชี้สิ้นปี SET ขาขึ้น! เลือกตั้งสหรัฐฯ ทำ’ฟันด์โฟลว์’ ไหลกลับตลาดหุ้นเอเชีย-ไทย

‘เจพี มอร์แกน’ ชี้สิ้นปี SET ขาขึ้น! เลือกตั้งสหรัฐฯ ทำ’ฟันด์โฟลว์’ ไหลกลับตลาดหุ้นเอเชีย-ไทย

เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมาร์โค สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทย บริษัท เจพีมอร์แกน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 5 พ.ย. 67 จะมีการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐ ทั้งฝั่ง “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “กมลา แฮร์ริส” ที่พยายามเอาชนะใจผู้ลงคะแนนเสียงในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่การค้าและการย้ายถิ่นฐาน และประชาชนได้เห็นภาพของการแสดงวิสัยทัศน์แสดงจุดยืนและนโยบายต่างๆ กันอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยคะแนนเสียงปัจจุบันค่อนข้างสูสีกัน จึงคาดเดาได้ยากว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

ทั้งนี้ คนส่วนมากจะมองเห็นภาพของ “ทรัมป์” ต้องไปในแนวทางเชื่อมโยงกับธุรกิจ และแน่นอนว่าหากทรัมป์ได้กลับเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งกำแพงภาษีกัดกันการค้ากับประเทศจีนจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงหลังจากนั้นอาจมีผลกระทบในวงกว้างไปทั้งทางตรงและทางอ้อมถึงประเทศคู่ค้าร่วมด้วย

ในขณะที่ “แฮร์ริส” พรรคเดโมแครต ภาพที่คนส่วนใหญ่มอง คือ เป็นพรรคเพื่อประชาชน จึงมองว่านโยบายที่ใช้ในการหาเสี่ยงส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปในด้านของภาษีเป็นหลัก และคาดว่าความเข้มข้นของสงครามการค้าจะไม่รุนแรงและมีความยืดหยุ่มมากกว่าฝั่งพรรครีพับลิกัน

อย่างไรก็ดีในช่วงที่ใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีตลาดหุ้นฝั่งเอเชียซึ่งรวมถึงไทยอาจมีความผันผวน สัญญาณการกลับเข้ามาของฟันด์โฟลว์ยังมี แต่คาดว่าหลังการเลือกตั้งฯ ได้บทสรุปจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น

นายมาร์โค กล่าวว่า ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ที่ยังมีการเติบโตได้ดี เช่น ภาคบริการและการท่องเที่ยว ภาคการอุปโภค-บริโภค นับตั้งแต่ต้นปี 2567 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังไทยมีการเติบโตที่ใกล้เคียงกับเมื่อเทียบในช่วงก่อนโควิดแล้ว และคาดว่าสิ้นปีอาจแตะ 35 ล้ายรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้

นอกจากนี้ มองว่าการที่ภาครัฐพยายามดันใบอนุญาตโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เช่น คาสิโน เป็นเรื่องแปลงใหม่และน่าสนใจมาก เพราะไทยมีพื้นฐานที่ดีในด้านงานบริการอยู่แล้ว จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและประเทศมาก หากมีอุตสาหกรรมใหม่ที่แตกต่างเข้ามา จะสร้างเม็ดเงินให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้

อีกทั้งธปท. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมาถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งน่าจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2567และช่วยบรรเทาปัญหาหนี้สินครัวเรือน โดยเชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาดในอนาคต อีกทั้งหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของผู้บริโภคได้ เชื่อว่าไทยจะได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวขาเข้าจากจีน

ทั้งนี้คาดผลประกอบการไตรมาส 3/67 แนวโน้มกำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของ ดัชนี MSCI Thailand ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักมาจากผลประกอบการที่ผันผวนในกลุ่มวัสดุและสาธารณูปโภค ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มอื่น ๆ กลับมีการปรับกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค โทรคมนาคม และไอที

“นักลงทุนควรจับตามองกระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย แรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในประเทศ ราคาน้ำมันที่ลดลง ค่าเงินดอลลาร์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของจีน และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อาจส่งผลให้กระแสเงินลงทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่การที่นักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ตลาดเกิดใหม่ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดไทยด้วยเช่นกัน” นายมาร์โค กล่าว

…..

#Thepoint #Newsthepoint

#เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ #สถานการณ์หุ้นไทย #เจพีมอร์แกน

Must Read

Related News

- Advertisement -