หน้าแรกการเมือง'พิชิต' อโหสิกรรม '40 สว.' เชื่อมีกระบวนการล้มนายกฯ แต่ไม่หวั่นไหว ขอให้ศาลรธน.ตัดสิน

‘พิชิต’ อโหสิกรรม ’40 สว.’ เชื่อมีกระบวนการล้มนายกฯ แต่ไม่หวั่นไหว ขอให้ศาลรธน.ตัดสิน

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี สว.40 คน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ การกระทำขัดรัฐธรรมนูญของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิชิต ว่า การตั้งรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกแตกต่างจากนายกฯคนอื่นในอดีต จึงอยากเรียนว่ามาเอาเรื่องท่านทำไม การตั้งรัฐมนตรี คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องไปกรอกคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามจากนั้นนายกฯต้องนำข้อมูลเหล่านี้ไปตรวจสอบตามกระบวนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำงานอย่างมืออาชีพและไม่มีทางช่วยตน โดยจะส่งเรื่องไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี เพื่อตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดอาญาหรือไม่ เวลาจะดูเรื่องความซื่อสัตย์ และจริยธรรมไม่ได้ดูที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างเดียว

“จึงอยากถามและขอวิงวอน (พร้อมยกมือไหว้) ว่าไปเอาผิดนายกฯทำไม และไม่ควรเอาเรื่องใดๆกับนายเศรษฐา ขอโอกาสให้นายกฯได้ทำหน้าที่ตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภาไว้ ดังนั้นท่าน(สว.)ไม่มีสิทธิใช้ดุลพินิจคิดเอง ทำเอง ใดๆทั้งสิ้น นี่ผมพูดจากใจ ผมอยู่ตรงจุดนี้ผมพูดไม่อายผมเป็นองครักษ์พิทักษ์ท่านนายกฯ และ องครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯมาแล้ว ฉะนั้นต้องเอาความจริงและหัวใจมาพูดกัน ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง ที่ผ่านมาก็ทำตามกระบวนการถ้าเห็นว่าตั้งใครไม่ได้ก็ไม่ตั้งไปทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล ผมไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรมาด้วยสติปัญญาของผม และมีสมอง“ นายพิชิต กล่าว

นายพิชิต กล่าวว่า สำหรับเรื่องจริยธรรมไปดูช่องทางกฎหมายให้ดี มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นแบบอย่างแล้ว บ้านเมืองมีหลักนิติธรรม ต้องดูว่าเรื่องจริยธรรมอยู่ช่องไหน และตนขอบคุณ ไม่ได้โกรธ และอโหสิกรรม สว.ทั้ง 40 คน หลายคนไม่เคยศึกษาประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับตน ชีวิตตนถูกกระทำตั้งแต่ปี 51 ตนโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต ที่ผ่านมาเป็นสส.ตอบคำถามได้ทุกคำถาม ตนโดนตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และควรเป็นกรณีศึกษา เพราะเป็นคนไทยแต่ถูกตัดสินในศาลเดียว ทั้งที่ศาลมี 3 ชั้นศาล เวลานักการเมืองถูกคดียังต่อสู่ได้ 2 ชั้นศาล

ตนเป็นทนายความไปว่าความมีปัญหาถูกตัดสินศาลเดียวจบนี้คือความขมขื่นในหัวใจ และมั่นใจในหลักความเป็นธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริงตนไม่หวั่นไหวเพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรแต่คำวินิจฉัยศาลฏีกาไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ตนรอจังหวะยิงลูกนี้มานานแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นบรรทัดฐาน จะเป็นโอกาสในชีวิตตนที่ได้ดีแคลร์ชีวิตตัวเอง ตนไม่ได้หวั่นไหว

“ประเด็นในศาลฎีกาไปดูเถิดถ้ามีตรงไหนระบุว่าผมไปหิ้วถุงเงิน 2 ล้าน ผมลาออกวันนี้เลยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คนที่ว่ากล่าวผมว่าทนายถุงเงิน2 ล้าน พูดกันอย่างคนไร้สติ ไม่มีเหตุมีผล ในประเทศไทยใช้ระบบประมวลกฎหมาย ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจ ก็ไม่มีอำนาจ การไต่สวนเรื่องละเมิดอำนาจศาลใช้วิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ในคดีอาญาก็ใช้วิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก อะไรที่พิจารณาโดยวิธีพิจารณาความอาญาไม่บัญญัติไว้ ให้ใช่วิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม และไม่เคยมีการใช้ประมวลกฎหมายอาญา

โดยเฉพาะมาตรา 83 มาใช้ในการพิพากษาคดี ซึ่งไม่มี ถ้าหากว่ามีผมก็ขอลาออกวันนี้อีก นี้คือความเก็บกดที่ผมโหยหาความยุติธรรม ผมติดใจมาตรา 83 มาทั้งชีวิต เอามาเขียนใส่ได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่มีการกระทำอะไรเลย ในการถือเงินเอามาใส่ทำไม และในคำสั่งศาลฎีกามีคำหนึ่งระบุว่า “ผมน่าจะรู้” อ้าว “น่าจะ” ก็ขังผมแล้วเต็มพิกัด 6 เดือน ผมคาใจคดีอาญาน่าจะถือว่ามีข้อสงสัยต้องยกประโยชน์ให้จำเลย แต่นี้เป็นคดีแพ่ง

วันนี้ผมจะอยู่หรือจะไปไม่ยึดติดอะไร ผมต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรมและความเป็นธรรมในชีวิตผม ผมขอฝากไว้นะ คำว่าน่าจะแล้วผมถูกขังมันเป็นเรื่องสมมติฐานและคิดเอาเอง คือไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน ที่กล่าวหาว่าพิชิตถือถุงเงินก็ไปตั้งข้อสมมติฐานว่าผมน่าจะรู้ ขอให้ไปดูคำสั่งให้ดีจะพบข้อพิรุธข้อสังเกตมากมาย ผมถึงชอบที่ไปศาลรัฐธรรมนูญถามอะไรผมตอบได้ทุกประเด็น“ นายพิชิต กล่าว

นายพิชิต กล่าวว่า ตนเป็นสส.มา 2 ปี 6 เดือน รัฐธรรมนูญมีการเขียนเกี่ยวกับการถอดถอนเรื่องจริยธรรม คนที่ไม่ชอบและหมั่นใส้ตนทำไมไม่ยื่นตอนนั้น และตนเห็นว่าการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมต้องเริ่มตอนรับตำแหน่ง แล้วมาบังคับใช้กับตนตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี ดูให้ดีพวก 40 สว.ที่ยื่น ตนเรียนกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตอยากถามว่าวัดกันตรงไหน ถามกฤษฎีกาก็ตอบไม่ได้

ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมไม่ตั้งคำถามประเด็นนี้กับกฤษฎีกาเพราะต้องการช่วยตน ขอเรียนว่าถามไปก็ตอบไม่ได้ และที่ตนโดนศาลฎีกาว่าคำว่า “น่าจะ” อยากถามว่าเป็นที่ประจักษ์แค่ไหน และอยากให้ไปดูในชั้นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 60 มีคนเคยพูดประเด็นนี้แต่ไม่อยากเอ่ยชื่อว่าเป็นใครเพราะเขายังรับราชการอยู่ บอกว่าหากใส่เรื่องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักจะทำให้เกิดการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง เพราะเรื่องนี้เป็นนามธรรมวันไม่ได้ ตนจึงบอกว่าอย่าไปส่งไหนหนังสือกฤษฎีกาที่หลุด และสลค. และนายกฯก็สงสัย ที่ตนต้องโทษมามันคือโทษอะไร มีคำพิพากษาศาลฎีกามากมายระบุว่าโทษที่ตนได้รับเป็นมาตรการท่างแพ่งเป็นเรื่องความสงบในบริเวณศาล ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา สอดคล้องคำที่กฤษฎีกาวินิจฉัย ที่ต้องโทษว่าเป็นคำสั่งซึ่งต่างจากคำพิพากษา ซึ่งถือว่าชัดเจนว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม

“นายกฯไม่มีอะไรผิดเลย มันเป็นวาระเป็นวงจรอุบาทว์ ท่านบริหารประเทศดีๆ มาทำให้เกิดการกระทำแบบนี้ให้ผู้นำประเทศต้องออกจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนในสว. รู้เห็นการกระทำ ผมก็ขอความเป็นธรรมไปพูดกันดีๆก่อนจะมีการยื่นผมรู้มีพฤติกรรมอย่างไร คนของใครทำอะไรผมขอไม่พูด ขอขอบคุณ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ สว. ที่ออกมาพูดเรื่องจริง และยืนยันข้อกฎหมายว่าไม่ผิดด้วย” นายพิชิต กล่าว

นายพิชิต กล่าวว่า คำตอบของการแก้วงจรอุบาทว์ คุณไปคิดกันมาเลยใครก็ได้ หากตนลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนจะทำให้พี่น้องทั้งประเทศ พร้อมยกมือไหว้แล้วกล่าวอีกว่า ตนพูดกลางแดดต่อหน้าพระสยามเทวาธิราช ในองคาพายพของกระบวนการยุติธรรม และองคาพายพอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงไปคิดมา โจทย์ที่เกิดวงจรอุบาทว์อย่างนี้หากนายพิชิตลาออกแล้วจบปัญหา พร้อมลาออกทุกเมื่อ และต้องยืนยันให้ได้ว่าถ้าลาออกแล้วจบ

เมื่อถามว่า มองว่าเป็นเกมการเมืองต้องการล้มนายเศรษฐาหรือไม่ นายพิชิต ตอบว่า แน่นอน

เมื่อถามว่าหากนายเศรษฐาอยู่ต่อนายพิชิตพร้อมลาออกหรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่าวันนี้ถือเป็นเงื่อนไงเพราะวงจรอุบาทว์เล่นแบบนี้ ตอนนี้เรามีนายกฯบ้านเมืองปกติอยู่แล้ว มาทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง ขาดไร้นายกฯทำไม ไปช่วยกันคิดไม่ใช่การบ้านของตน การบ้านตนคือเมื่อคิดตกนายพิชิตลาออกแล้วมันจบ

เมื่อถามว่านายเศรษฐาระบุจะพูดคุยกับนายพิชิต เกี่ยวกับกระแสข่าวลาออก นายพิชิต กล่าวว่า ตนรักเคารพนายกฯ จะไม่คุยอะไรกับท่านให้เกิดความหนักใจ

เมื่อถามว่าแสดงว่าไม่มีแนวคิดก่อนวันที่ 23 พ.ค. ที่ศาลจะพิจารณาใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า เอาเป็นว่าตนโยนโจทย์ไปเพราะมีคนอยากให้ตนอยู่และอยากให้ตนออก บ้านเมืองไม่ใช่ตนดูแลคนเดียว ตนจึงใช้คำว่าวงจรอุบาทว์ถ้าจะแก้วงจรอุบาทว์ให้นายกฯอยู่ เพราะตนเป็นองค์รักษ์พิทักษ์นายกฯเศรษฐา มาดวลกับนายพิชิตคนเดียว 40 สว. เข้ามาทีละคนตนพร้อม แล้วเอาอาจารย์นักกฎหมายดังๆสัก 3 คนมาเป็นพยาน แล้วพูดประเด็นกฎหมายกัน เพราะสว.ที่ลงชื่อบางคนยังไม่รู้เลยว่ายื่นเรื่องอะไร อ้างเหตุผลตนจะมาแก้เรื่องจำนำข้าวบ้าง ไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติตัวเองเลยใครทำอะไรตนรู้หมด

เมื่อถามว่าคนที่อยู่เบื้องหลังสว. 40 คนคือใคร นายพิชิต กล่าวว่าตนไม่ขอก้าวล่วงแต่มีกระบวนการแล้วกัน ตนไม่ขอกล่าวหาแต่ข้อมูล เมื่อถามว่ากระบวนการที่ว่าต้องการล้มรัฐบาลหรือแค่เปลี่ยนนายกฯ นายพิชิต กล่าวว่า ตนไม่กล่าวหาแต่ข้อมูลเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามอีกว่าที่ระบุว่าวงจรอุบาทว์อาจเป็นกลุ่มอำนาจเก่า นายพิชิต กล่าวว่า ตนไม่ขอตอบคำถามนี้ให้ท่านพิจารณาเอาเอง มันมีกระบวนการอย่างนี้จริง เพราะถ้าติดใจเรื่องคุณสมบัติ ก็ยื่นตนคนเดียว

เมื่อถามว่าจะอยู่ในตำแหน่งจนกว่าศาลจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือศาลจะมีคำสั่งอะไรใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า คนเคารพดุลยพินิจศาลตรงไปตรงมา สิ่งที่ตนพูดเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน

Thepoint #Newsthepoint

พิชิตชื่นบาน #ขาดคุณสมบัติ #สว

Must Read

Related News

- Advertisement -