เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 ที่กองปราบปราม นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เปิดใจถูกตำรวจกองปราบคุมตัวมาดำเนินคดีว่า การตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาและต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม หลังจากรัฐประหาร 2549 ตนมีคดีเยอะเกือบ 10 คดี มีทั้งการต่อสู้คดี คดีหมดอายุความ
นายจักรภพ กล่าวว่า ขณะที่คดีมาตรา 112 อัยการสั่งไม่ฟ้องไปหลายปี ตอนนี้มีคดีอยู่เพียง 2 คดี ในเรื่องอาวุธปืน และขัดคำสั่งคสช. สาเหตุที่ตัดสินใจกลับมา เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป การสร้างประชาธิปไตย มีมากกว่าทำลาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเข้ามาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดความมั่นใจในการต่อสู้คดี ยืนยันไม่มีการดีล มีแต่การพูดคุยกันเท่านั้น
เมื่อถามว่าหากรัฐบาลทาบทามให้มาช่วยงาน นายจักรภพ กล่าวว่า ยินดีรับใช้ชาติ หากรัฐบาลทาบทาม แต่จะไม่ไปในกรณีที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในภาพรวมและพรรคการเมือง หากมีปัญหาจะอยู่เบื้องหลัง
เมื่อถามว่าติดต่อนายทักษิณ ชินวัตร ก่อนเดินทางกลับมาหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ได้โทรศัพท์คุยกัน 1 ครั้ง ท่านพูดคำสำคัญคำหนึ่งว่า “หลายอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น” เราพูดได้เท่านี้ แต่ไม่ได้พูดคุยเรื่องคดี เพราะเป็นคดีที่คนละแบบกัน แต่ละคนก็ต้องทำการบ้านของตัวเอง
เมื่อถามว่าต่อจากนี้คนเสื้อแดงจะทยอยเดินทางกลับมาหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น และจะขอเสนอตัวช่วยเหลือคนที่อยากกลับมา และกลับมาได้ด้วยการต่อสู้ในคดีความและมีความพร้อม อย่างนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งการที่ตนกลับมาก็เหมือนหนูลองยา ให้หลายคนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายจักรภพ กล่าวว่า เชื่อว่าท่านอยากกลับบ้านเหมือนทุกคน และเท่าที่ทราบท่านมีคดีแค่จำนำข้าว อย่างอื่นก็หมดไปแล้ว แต่อาจจะเกินกำลังและเกิดสติปัญญาที่ตนจะเข้าไปจัดการขอช่วยเฉพาะคนที่สามารถช่วยเหลือได้ก่อน
นายจักรภพ กล่าวว่า จากนี้จะเข้ามารายงานตัวและสอบปากคำในวันที่ 22-23 เม.ย. และจากนี้จะไปไหว้อัฐิพ่อแม่ หลังจากที่ลี้ภัยไปนานกว่า 15 ปี