เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “สัญญาณ?” โดยระบุว่า ถ้าพรรคก้าวไกลมั่นใจได้ ส.ว. สนับสนุนครบ 65 เสียงแล้ว ยิ่งไม่ควรต้องจัดชุมนุมส่งสัญญาณอารมณ์ถึงเหตุการณ์โหวต 13 ก.ค. เพราะจะทำให้เกิดผู้ไม่หวังดีเข้าแทรกแซง ปั่นป่วนจนมีความคั่งแค้นและเกิดความเสียทายทางการเมือง แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคน ทั้งศิริกัญญา ตันสกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และชัยธวัช ตุลาธน ล้วนแสดงความมั่นใจได้เสียง ส.ว.เพียงพอผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ 376 เพื่อให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ได้เป็นนายกฯ จากการโหวตรอบแรกในวันที่ 13 ก.ค.นี้
อีกทั้งถามพรรคก้าวไกลมั่นใจจริงหรือไม่ พร้อมยกตัวอย่างว่า ตนเคยมั่นใจมาแล้วเมื่อครั้งชุมนุมหนุนเลือกนายกฯ เมื่อปลายปี 2551 ระหว่างพรรคเพื่อไทยส่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ผลออกมาแพ้นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จนราบคาบ ซึ่งเป็นบทเรียนฝังใจกับทักษิณ ชินวัตร ที่ให้คำมั่นสัญญาว่า พล.ต.อ.ประชา ชนะแน่นอนและได้ฟอร์มตัวตั้งรัฐบาลไว้แล้ว แต่ไม่เป็นความจริง
“ส่วนเสียง ส.ส. มีแน่นอน 311 เสียง แต่ถ้ามั่นใจรวบรวม ส.ว.ได้จริงเกิน 65 เสียงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปสุ่มเสี่ยงอะไรกับการชุมนุม (เมื่อ 9 ก.ค.) หากมีใครสักคนชูป้ายเรื่อง 112 หรือเรื่องอื่นแล้ว มันจะลากให้กลายเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งทันที”
นายจตุพร ยกบทเรียนส่วนตัวมาเตือนว่า ตนเคยทำชุมนุมเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน และไม่ประสบความสำเร็จมาแล้ว จากนั้นรัฐบาลที่เป็นฝ่ายชนะก็ต้องอยู่กับม็อบไปตลอดเช่นกัน ซึ่งปัญหานี้กำลังจะกลับมาอีกรอบหนึ่ง เพียงแต่จะจบกันอย่างไรเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่าแม้การแสดงออกของพรรคก้าวไกลสวนทางกับสิ่งที่แถลงถึงเสียง ส.ว.มีจำนวนเพียงพอผ่าน 376 เสียง แต่ทางการเมืองเมื่อมีความเบ็ดเสร็จแล้วจะไม่เดินเกมเสี่ยงจนกว่าอำนาจจะอยู่ในมือ อีกอย่างการชุมนุมขอบคุณประชาชนนั้น สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเสียง ส.ว.ที่จะได้รับเกิน 65 เสียงตามที่ต้องการ
“ถ้าชัวร์เดินไปชุมนุมให้เสี่ยงทำไม ซึ่งจะเกิดโรคแทรก จะกลายเป็นเงื่อนไขเกิดการสุ่มเสียงทุกกรณี หากไม่มีความมั่นใจ (เสียง ส.ว.) ก็ต้องทำ (ชุมนุม) เพื่อนำไปสู่ความต้องการ ดังนั้น การชุมนุมขอบคุณประชาชนหากมีคนต่ำกว่า 5 หมื่นจะสร้างแรงกดดันต่อ ส.ว.ได้เหนื่อยยากยิ่ง”
นายจตุพร กล่าวว่า การชุมนุมขอบคุณประชาชนเมื่อ 9 ก.ค. หวังส่งสัญญาณไปถึงการโหวตนายกฯ วันที่ 13 ก.ค.นี้ อีกอย่างการประเมินท่าทีฝ่ายความมั่นคงเพื่อควบคุมสถานการณ์นั้น หากคาดผลโหวตนายกฯ นายพิธา ผ่านเสียง 376 แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์มาขวางสกัดกั้นในวันที่ 13 ก.ค.ด้วย รวมทั้ง ย้ำว่า ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอยู่ในสถานการณ์โหวตเลือกนายกฯ อารมณ์ประชาชนมีความคาดหวังมากมาย ถ้าการโหวตครั้งแรกไม่ได้คือ ไม่ผ่าน 376 เสียงแล้วจะเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่โถมเข้ามาทันที แต่ถัดไปหากเกิดการย้ายขั้วสลับข้างแล้ว ยิ่งจะเป็นปัญหากดทับอารมณ์ความรู้สึกคั่งแค้นของประชาชนอย่างหนักหน่วง
“บ้านเมืองจะอย่างไรก็ตาม หนีเรื่องราวไม่พ้น อยู่ที่แต่ละฝ่ายเห็นปัญหาแล้วหรือยัง อีกทั้งบางพรรคเอาแต่ความได้เปรียบ และยุส่งให้บางพรรคเดินไปให้สุดทาง แล้วรอคิวของตัวเอง โดยคงคิดเพียงความเหนือกว่า แม้ข้ามขั้วได้เป็นรัฐบาลก็จะพังด้วยปัญหาอารมณ์ค้างอยู่ดี เราไม่ต้องการเห็นเลือดนองท้องช้างอีกแล้ว ไม่ต้องการเห็นวีรชนเพิ่ม ไม่อยากได้คนตายเพิ่ม ขอสิ่งสุดท้ายได้รักษาชาติ ประชาชนเอาไว้ แม้ถึงนาทีนี้ยังหน้ามืดกันอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร”