หน้าแรกข่าวเด่น'จตุพร'ฟันฉับ!!เรื่องจริงหรือแค่ฝันหวาน'อุ๊งอิ๊ง'ประกาศตั้งรัฐบาลเดียวกวาด 310 เสียง ท้า'เศรษฐา'ลาขาดธุรกิจ

‘จตุพร’ฟันฉับ!!เรื่องจริงหรือแค่ฝันหวาน’อุ๊งอิ๊ง’ประกาศตั้งรัฐบาลเดียวกวาด 310 เสียง ท้า’เศรษฐา’ลาขาดธุรกิจ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เอาที่สบายใจ” โดยระบุว่า พรรคเพื่อไทยมุ่งกวาดเสียง 310 คน ไม่แบ่งให้พรรคอื่นในฝ่ายเดียวกัน ต้องการให้เลือกตั้งชนะขาด เพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับธรรมชาติทางการเมือง คือ เสียงเลือกตั้งจะไม่ย้ายข้างไปลงให้อีกฝ่ายหนึ่ง โดยพรรครัฐบาลจะไม่เลือกฝ่ายค้าน และฝ่ายค้านจะไม่เลือกรัฐบาล ดังนั้น เสียงที่ต้องการ 310 คน จึงต้องกระทบกับพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง
.
“ถ้าเพื่อไทยได้ 310 เสียงจริง แสดงว่า พรรคก้าวไกล เสรีรวมไทย และประชาชาติ รวมทั้ง ไทยสร้างไทย จะไม่ได้รับเลือกตั้งเลย ดังนั้น การไม่แบ่งเสียงให้พรรคฝ่ายเดียวกัน ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง จึงเป็นความอำมหิต และจะเกิดการต่อสู้แย่งชิงเสียงในพรรคฝ่ายเดียวกันอย่างรุนแรง”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร ระบุว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่แบ่งเสียงให้ใครแล้ว การชิงนายกฯ ต้องใช้เสียงเกินครึ่งของรัฐสภาจำนวน 376 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียง (ส.ว. 250 + ส.ส. 500 เสียง) แล้ว จึงสงสัยว่า เสียงอีก 66 เสียงจะเอามาจากไหนเพื่อบวกกับ 310 เสียงที่หวังจะได้รับ และทำให้เพื่อไทยสามารถฝ่าด่านเลือกนายกฯ ไปได้ ก่อนไปสู่การตั้งรัฐบาลพรรคเดียวตามการคุยโวที่ทำให้สบายใจ ก็ว่ากันไป
.
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อหักลบกันแล้ว ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และพรรคใหม่อย่างรวมไทยสร้างชาติ จะเหลือเสียงเพียง 190 เสียงเท่านั้น แต่ยังมีเสียง ส.ว. 250 เสียงเป็นหน่วยหนุนเสริมอีก รวมเป็น 440 เสียงเกินครึ่งหนึ่งของเสียงรัฐสภา  376 เสียง จากทั้งหมด 750 เสียง จึงแสดงว่า ฝ่ายรัฐบาลเดิมยังสามารถฝ่าด่านเลือกนายกฯ และตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี
.
“ถ้าเพื่อไทยจะประกาศทั้งทีต้องใช้ตัวเลข 376 เสียงไปเลย ขอ 310 เสียงทำไม เพราะไม่มีผลต่อการเลือกนายกฯ และตั้งรัฐบาล อีกทั้งจะไปหาอีก 66 เสียงจากไหนมาเติมให้เกินครึ่งของรัฐสภา เนื่องจากกวาดฝ่ายเสียงเดียวกันจนหมดเกลี้ยงแบบนี้แล้ว ดังนั้น อีกสองวันควรประกาศเพิ่มใหม่เป็น 376 เสียง จะได้สบายใจกันไปเลย” นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวว่า ในทางปฏิบัติแล้ว ตัวเลขชนะเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ช่างเป็นตรรกะย้อนแย้งกันอย่างยิ่ง รวมทั้งการพูดกวาดเรียบไม่แบ่งให้พรรคใด ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง เท่ากับทำลายจิตใจของมิตรทางการเมือง ขณะเดียวกันความเป็นไปได้บนฐานเสียง 310 เสียงนั้น ความจริงมาจากการประเมินด้วยการย้ายขั้วทางการเมืองจากพรรคพลังประรัฐมาอยู่เพื่อไทย เพื่อเพิ่มค่าตัวทางการเมือง แล้วตีจากหลังเลือกตั้ง เสมือนเป็นการเก็งกำไรราคาหุ้นการเมืองส่วนบุคคลกัน
.
นายจตุพร กล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะย้ายจากพลังประชารัฐมาเพื่อไทยนั้น ขณะนี้รอการตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่ แต่ดึง ส.ส.ระดับใหญ่มาอยู่เพื่อไทย มีความแตกต่าจากเสียงแลนด์สไลด์ในสมัยพรรคไทยรักไทยในปี 2548 กับปี 2554 ในช่วงพรรคเพื่อไทย เพราะในช่วงนั้น พรรคการเมืองในฝ่ายเดียวกันแทบไม่มีตัวแบ่งแย่งชิงเอาเสียงประชาชนไป
.
นายจตุพร ระบุว่า ส่วนการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2562 ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยถูกแบ่งออกไปเลือกพรรคอนาคตใหม่ (ก้าวไกลปัจจุบัน) ดังนั้น แม้ได้เสียงมากเป็นอันดับหนึ่งจำนวน 136 เสียง แต่ไม่แลนด์สไลด์ สิ่งสำคัญมีพรรคก้าวไกลที่เป็นฝ่ายเดียวกันมาเบียดชิงเสียงคนรุ่นใหม่ไปได้มากถึง 81 เสียง
.
นายจตุพร เสนอว่า ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยประกาศกวาดเสียงแลนด์สไลด์ 310 เสียง โดยไม่แบ่งให้พรรคพี่พรรคน้อง ซึ่งหมายถึงพรรคไทยสร้างไทย (แยกจากพรรคเพื่อไทย) และมีก้าวไกล อยู่ในฝ่ายค้านร่วมด้วยกันจะไม่ได้ ส.ส. สักคน ซึ่งในทางการเมืองคงเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะในพื้นที่คะแนนเสียงของเพื่อไทยมีผู้สมัครเด่นๆของก้าวไกลและไทยสร้างไทย ดังนั้น สองพรรคนี้ย่อมมีโอกาสแบ่งส่วน ส.ส.มาได้หลายคน
.
“แรงเหวี่ยงแบบตัดญาติขาดมิตร ยิ่งแสดงถึงจิตใจคับแคบเท่าไร ย่อมจะถูกตอบโต้กลับจากฝ่ายเดียวกันมากขึ้น สิ่งสำคัญพรรคใหญ่ ควรแสดงตนเป็นคนใจกว้างชวนประชาชนให้เลือกฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อหยุดระบอบ 3 ป. และให้เพื่อไทยไปตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้บริหารประเทศ การแสดงความใจกว้างเช่นนี้ จะได้ใจหมู่มิตรพร้อมร่วมเป็นร่วมโค่นระบอบ 3 ป.ด้วยกัน” นายจตุพร กล่าว และเห็นว่า การแสดงใจคับแคบ ตัดขาดมิตรแล้วกระทืบซ้ำพรรคฝ่ายเดียวกัน ยิ่งทำให้เกิดอาการบาดหมางใจ หากหลังเลือกตั้งจะร่วมรัฐบาลแล้ว จะมีมิตรพรรคฝ่ายเดียวกันมาร่วมได้อย่างไรกัน
.
นายจตุพร กล่าวถึงนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ปรึกษาเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยว่า ตนไม่มีอคติใดๆ กับนายเศรษฐา เมื่อนายเศรษฐา ได้เลือกหนทางมาเอานายกฯ เพียงตำแหน่งเดียวแล้ว คำว่า “ลาชั่วคราว ไม่รับเงินเดือน” ซึ่งฟังผิวเผินแล้วดูดี แต่เราต้องการผู้มาเป็นผู้ปกครองที่ลาขาดธุรกิจ อันจะนำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ เป็นการส่วนตัว
.
“ในช่วงที่นายเศรษฐา เป็นที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ได้เห็นการตัดถนนใหม่สายไหนบ้าง มีการแก้ไขผังเมืองในถนนสายไหนบ้าง หลังจากนั้นมีหมู่บ้านไปขึ้นเป็นหมู่บ้านไหนบ้างหรือไม่?”
.
นายจตุพร กล่าวว่า แล้วมาครั้งนี้ดูเสมือนหนึ่งว่า นายเศรษฐาได้แสดงสปิริตทางการเมือง แม้การลาชั่วคราวทางธุรกิจ แต่ยังไม่แฟร์ เพราะประเทศต้องการคนปลอดจากผลประโยชน์มาแก้ปัญหาชาติอย่างจริงจัง เมื่อสถานะทางเศรษฐกิจของนายเศรษฐา ไม่มีความเดือดร้อนใดๆแล้ว ด้วยเหตุนี้การเป็นนักการเมืองหรือได้เป็นนายกฯ แล้ว การลาชั่วคราวทางธุรกิจยังไม่เพียงพอ และยังอาจถูกเรียกเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ดังนั้นเมื่อต้องการมาแก้ปัญหาชาติ ก็ควรสละทุกอย่างอันจะนำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมให้สิ้นขาดกันเลย
.
“การตัดขาดจากผลประโยชน์เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ปัญหาใหญ่ของเพื่อไทยไม่ใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เป็นปัญหาความไม่สุจริต เพราะประชาชนมีความเชื่อกันว่า เกิดการทุจริตเนื่องจากศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาออกหมาหลายคดีแล้ว”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวว่า แม้เพื่อไทยมีฝีมือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ก็มีปัญหาทุจริตอยู่ควบคู่กันด้วย ดังนั้น โจทย์ใหญ่เพื่อไทยไม่ได้อยู่ที่ทีมเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นปัญหาการทุจริต อีกอย่างการเชิดชูสร้างภาพนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้มาเป็นมือเศรษฐกิจก็ยังชี้วัดความสามารถไม่เด่นชัด เพราะยังมีคนเก่งกว่าอีกมาก
.

ThePoint #Newsthepoint #ข่าวการเมือง #จตุพรพรหมพันธุ์ #อุ๊งอิ๊ง #เพื่อไทย #เศรษฐาทวีสิน

Must Read

Related News

- Advertisement -