วันที่ 14 ธ.ค. นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงไวรัสโควิดสายพันธุ์’โอไมครอน’ โดยระบุว่า ปะทุสายพันธุ์เพี้ยน หมอดื้อ เขียนตั้งแต่ 22 สค 2564 จนกระทั่งปัจจุบัน พฤศจิกายน มาจนธันวาคม 2564 ปะทุ โอไมครอน ไปทั่วโลก เป็นที่ชัดเจนแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่า น้องนุชสุดท้องโคโรนา โควิด-19 แปรผันผิดเพี้ยน เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาจนเก่งกาจสามารถติดเชื้อได้เก่งแพร่กระจายได้จากหนึ่งไปถึงเกือบ 10 คน และแถมยังหลบลี้หนีจากกระบวนการต่อต้านภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ตลอดจนภูมิที่สร้างจากวัคซีนหลากหลาย
.
เหล่านี้ไม่น่าแปลกใจ เมื่อย้อนกลับไปดูรายงานจากประเทศจีนตั้งแต่เมษายน 2563 ในผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์บ้านๆ ของจีนเอง 11 รายและพบว่าในตัวผู้ป่วยแต่ละรายนั้น มีไวรัสโควิด-19 ที่หน้าตาไม่เหมือนกันอย่างน้อยสี่ตัวจนกระทั่งถึง 10 กว่าตัวในผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีรหัสพันธุกรรมเพี้ยนไปจากเดิมในแทบทุกท่อน และการติดตามรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมแต่ละท่อน ในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละประเทศที่มีมาตรการควบคุมเข้มแข็งหรือลดหย่อน ทำให้ทราบว่าไวรัสหนีจากสภาพเดิมสู่สภาพใหม่และในที่สุด เลือกที่จะไฉไลกว่าเก่าโดยยึดหลักที่ว่า
เธอจะต้องสามารถแพร่กระจายเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ไปให้นานแสนนาน
.
การที่พบ ไวรัสโควิดหน้าตาหลายแบบในคนเดียวกัน ทำให้ทางการประเทศจีนกล่าวเตือนตั้งแต่ปีที่แล้วว่า ไวรัสหลายแบบดังกล่าวอาจจะมีการควบรวมผสมกลายเป็นตัวใหม่ โดยกระบวนการรีคอมไบน์ และไม่ได้มีการเปลี่ยนท่อนพันธุกรรมทั้งท่อนแบบที่เห็นในไวรัสไข้หวัดใหญ่ และเป็นที่หวั่นเกรงกันว่า ถ้าคนติดเชื้อมีไวรัสที่วิวัฒนาการจนตั้งหลักเป็นสายพันธุ์ชัดเจนแล้วมากกว่าหนึ่งตัว
.
ยกตัวอย่างเช่น มีสายพันธุ์อัลฟากับเดลตาอยู่ด้วยกัน จะเกิดประกอบร่างใหม่กลายเป็นไฮบริดเหมือนอย่างรถยนต์ที่สลับสับเปลี่ยนใช้ไฟฟ้าหรือน้ำมันในแต่ละสภาพความเหมาะสม เพื่อความประหยัดและไม่เกิดมลพิษ ไฮบริดของไวรัสดังกล่าว ถ้าเกิดขึ้นจะกลายเป็นเอาจุดเด่นของแต่ละสายพันธุ์เข้ามาร่วมกัน
.
ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นแต่รหัสพันธุกรรมที่ทำให้ติดง่าย แพร่ง่าย และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้เก่งเท่านั้น แต่ยังมีท่อนอื่นที่เพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับไวรัสในการทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะด้วยความช่วยเหลือของอนุภาคในเซลล์ของมนุษย์ที่เราเรียกว่า ไรโบโซม แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดไฮบริดอาจจะต้องเกิดจากการที่ไวรัสสองสายพันธุ์เข้าไปติดเชื้อในเซลล์เดียวกัน ไม่ใช่เพียงแต่ที่พบจากในสิ่งคัดหลั่งหรือในกระแสเลือดเท่านั้นซึ่งอาจจะเป็นโชคดีอยู่บ้างของมนุษย์
.
การป้องกันการปะทุของสายพันธุ์เพี้ยนเหล่านี้ คงต้องยกให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใช้บริบทของ การควบคุมภายในร่างกายมนุษย์และภายนอกร่างกายมนุษย์ นั่นคือ การสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปหาคนอื่น รวมทั้งทำความสะอาดพื้นผิวสาธารณะต่างๆอย่างสม่ำเสมอและมีการเข้มงวดตรวจคัดกรองและแยกตัวออกทันที ที่วินิจฉัยได้ว่ามีการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม
.
ดังจะเห็นได้จากการที่สามารถตรวจคนได้เป็น 1,000,000 คนภายในระยะเวลาไม่กี่วันในพื้นที่หนึ่ง การสร้างแรงกดดันที่สำคัญต่อเชื้อที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ได้แก่ การวินิจฉัยได้เร็วที่สุดและให้การรักษาเร็วที่สุด ตั้งแต่นาทีแรกควบรวมการใช้สมุนไพรที่มีดาษดื่นและขึ้นทะเบียนในระบบสาธารณสุขของจีนอยู่แล้ว และยกระดับเป็นขั้นเป็นตอนควบกับการรักษาแผนปัจจุบันและแม้กระทั่งการจัดท่าของคนที่ติดเชื้อลงปอดให้เป็นท่านอนคว่ำก็เป็นกลยุทธ์ที่ประเทศจีนใช้ก่อน
.
แรงกดดันที่สำคัญอีกประการคือ การใช้วัคซีน เป็นจำนวนมหาศาลในเวลารวดเร็วให้แก่ประชากรมากกว่าที่คิดตัวเลข 60% แต่เป็นเกือบทั้งประเทศ ยกเว้นในเด็กซึ่งในระยะแรกข้อมูลความปลอดภัยอาจจะยังไม่พอ แต่ในปี 2564 นี้เอง ที่ประเทศจีนใช้วัคซีนที่มีอยู่ดังเดิมที่เป็นเชื้อตายฉีดให้แก่เด็กด้วย การให้วัคซีนอย่างเข้มข้นเช่นนี้ เป็นการปิดโอกาสหรือเปิดโอกาสน้อยที่สุดให้กับไวรัสที่จะมีการแพร่กระจายจากคนสู่คนไปเป็นลูกโซ่และกดดันไม่ให้มีการกลายพันธุ์หรือรหัสพันธุกรรมเพี้ยนจนกระทั่งสามารถตั้งตัวกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่
.
ลักษณะเช่นนี้แตกต่างกับประเทศทางตะวันตก แม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็มีสายพันธุ์เอปซิลอน ซึ่งถือว่าเป็นสายพันธุ์เพี้ยนที่กำเนิดขึ้นในพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียเอง หลังจากที่มีการระบาดที่ควบคุมไม่ได้อยู่ช่วงเวลาเป็นปี…ลักษณะของการปล่อยให้มีการระบาดตามธรรมชาติและก่อให้เกิดลักษณะของภูมิคุ้มกันหมู่ ที่เรียกว่า herd immunity โดยคนในพื้นที่มีการติดเชื้อมากกว่า 60% โดยคนที่มีอาการรุนแรงก็ตายไปหรือเข้าโรงพยาบาลอาการหนักไป ดังที่เห็นในเขตมาเนาส์ ของเปรู
.
ซึ่งภายในครึ่งปีแรกของปี 2563 มีการติดเชื้อเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลอย่างมากมาย แต่เมื่อถึงครึ่งปี พบว่าคนป่วยอาการหนักเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดและทำให้การรักษาวินัยส่วนบุคคล การรักษาระยะห่างล้มเหลวไปหมด ดังนั้น เกิดการระบาดเงียบๆมายังคนในพื้นที่นั้น จนกระทั่งไวรัสสายเพี้ยนพัฒนาขึ้นดังเช่น เป็นสายเปรูและในเดือนธันวาคมของปี 2563 จึงเกิดมีการระบาด อาการหนัก ในพื้นที่ดังกล่าวใหม่
.
ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น การสร้างแรงกดดันต่อไวรัสต้องเข้มข้นตลอดเวลาและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นที่มาของการที่เราต้องการวัคซีนที่ดีที่สุดและสามารถคุมไวรัสที่มีเยอะที่สุดในขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น สายเดลตาและอัลฟา ที่ต้องพูดถึงอัลฟาเพราะแม้แต่ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมยังมีผู้ป่วยอาการหนักอายุตั้งแต่ 40 ถึง 80 ปีที่ติดเชื้อด้วยอัลฟา และดูเหมือนว่ายาฟาวิพิราเวียร์จนกระทั่งยาฉีดเรมเดซิเวียร์ เอาไม่อยู่หรือแทบเอาไม่อยู่
.
การฉีดวัคซีนที่ว่าต้องครอบคลุม ทำให้ได้ถึง 80 ถึง 90% ของประชาชนในระยะเวลาเร็วที่สุดภายในสามเดือน โดยที่ในเด็กเล็กอายุตั้งแต่สองขวบจนกระทั่งถึง 15 ปีสามารถใช้วัคซีนเชื้อตายอย่างที่ประเทศจีนได้นำมาใช้ โดยแม้ว่าจะกันการติดของเดลตาไม่ดีเท่ากับวัคซีนอื่นแต่สามารถลดอาการหนักหรือเสียชีวิตได้…การรุกหนักอย่างเข้มข้นรวดเร็วจะกันไม่ให้มีการกลายพันธุ์ภายในพื้นที่เหมือนกับสายพันธุ์เอปซิลอน ในสหรัฐฯที่แพร่ไปหลายสิบประเทศแล้วจนกระทั่งถึงปากีสถาน และแน่นอนไม่ช้าไม่นานคงจะเข้าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกระทั่งถึงประเทศไทย
.
แต่การให้วัคซีนเข้มข้น รวดเร็ว ต้องร่วมกับการคัดกรอง การติด และแยกตัว และวินัยพร้อมๆกัน ดังเช่น รายงานจากคณะผู้วิจัยในวารสารเนเจอร์ ปลายเดือนกรกฎาคม 2564 และในเวลาถัดมา จะมีวัคซีนครอบจักรวาล (broad spectrum vaccine) ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการตายจากสายพันธุ์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้และสายพันธุ์ที่จะมีการเพี้ยนในอนาคต และเมื่อถึงเวลานั้น อาจมีทางเป็นไปได้ว่าจะเป็นวันแห่งการประกาศอิสรภาพใช้ชีวิตอย่างเดิม โดยที่ไม่ต้องคิดอยู่ทุกวันเมื่อออกจากบ้านว่ากำลังจะไปรบ และวันนี้จะเหยียบกับระเบิดตายหรือไม่
.
‘หมอดื้อ’ไม่แปลกใจปะทุสายพันธุ์เพี้ยน!!’โอไมครอน’ชี้เร่งสร้างแรงกดดันสยบกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่!
- Advertisement -