วันที่ 1 มิถุนายน 2566 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงบุคคลที่มีคุณสมบัติจะมาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยขอให้เชื่อมั่นในพรรคที่จะส่งบุคคลมาทำหน้าที่ประธานสภา โดยเฉพาะหน้าที่ในการควบคุมการประชุม ซึ่งต้องรับผิดชอบทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ดังนั้นเชื่อว่าพรรคที่จะส่งประธานสภาจะต้องสรรหาคนที่เหมาะสมไปดำรงตำแหน่ง เพราะถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญ
คุณหญิงสุดารัตน์เห็นว่าอยากเห็นพรรคลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 พูดคุยกันให้จบ ไม่อยากให้เปิดฟรีโหวต เพราะหากมีฟรีโหวตเมื่อใดอาจกระทบและกลายเป็นปัญหาต่อการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากการเลือกประธานสภาจะมาก่อนการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นจะใช้วิธีการอย่างไรก็ต้องแสดงความชัดเจน
ส่วนกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ยังมองไม่เห็นช่องทางว่าจะเดินไปได้อย่างไร เพราะประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างล้นหลาม และมีฉันทามติที่ชัดเจนว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล ขณะเดียวกันเห็นว่ารัฐบาลแห่งชาติคือการไม่เคารพเสียงของประชาชน ซึ่งทุกพรรครวมถึง ส.ว. เอง พูดชัดเจนว่าจะเคารพเสียงประชาชน แต่ถ้าไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และเลือกใช้วิธีการพิเศษเข้ามา อาจนำประเทศไปสู่ความวุ่นวาย
ดังนั้นขอฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่าหากคิดที่จะใช้วิธีการพิเศษ อาจสร้างความไม่พอใจให้พี่น้องประชาชนที่ได้ไปใช้สิทธิ ซึ่งผลออกมาชัดเจนว่าประชาชนมีฉันทามติอย่างไร ประชาชนให้ความไว้วางใจใคร ซึ่งหากฝืนเดินหน้าก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยง นำมาสู่ความไม่พอใจของประชาชน จนกลายเป็นช่องทางการเข้ามาของผู้มีอำนาจ ดังนั้นตนอยากเห็นสิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของประชาชนและหาทางออกร่วมกันตามครรลองของประชาธิปไตย
“รัฐบาลแห่งชาติ
คือการไม่เคารพเสียงของประชาชน
ดิฉัน ยังมองไม่เห็นช่องทางว่าประเทศจะเดินไปได้อย่างไร? ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างล้นหลาม มีฉันทามติที่ชัดเจนว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล
ทุกพรรครวมถึง ส.ว.เอง ก็พูดชัดเจนว่าจะเคารพเสียงประชาชน แต่ถ้าไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และเลือกใช้วิธีการพิเศษเข้ามา อาจนำประเทศไปสู่ความวุ่นวายได้
ดิฉัน จึงขอฝากไปยังผู้มีอำนาจ หากคิดที่จะใช้วิธีการพิเศษ อาจสร้างความไม่พอใจให้พี่น้องประชาชนที่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกว่า 39 ล้านคน
หากพวกท่าน ยังฝืนเดินหน้า ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงของการยึดอำนาจรัฐประหารอีกครั้ง ดิฉัน ขอให้การจัดตั้งรัฐบาลประชาชน เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน และหาทางออกร่วมกัน ตามครรลองของประชาธิปไตย”