นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ ผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เขต สวนหลวง ประเวษ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ไว้ช่วง ปลายปี 2564 โดยระบุว่า ยืนไว้อาลัย 10ปี”รถคันแรก”ดันนโยบาย”ธุรกิจแรก” กระตุ้นเศรษฐกิจคนตัวเล็ก หลายทศวรรษ หลากรัฐบาล ยังแก้ไม่หาย เรื่องการเอื้อกลุ่มทุนจากภาครัฐ หนุนไปสู่การผูกขาดในอุตสาหกรรม เป็นกันมาทุกยุค ซึ่งไม่รู้วงจรอุบาทนี้ จะไปสุดหยุดตรงไหน หลายท่านโวยผม ทำไมไปซักไซร้ เอาความจริงมาซัดใส่กลุ่มทุนอย่าง ซีพี บริษัทเดียว บอกได้ตรงนี้ ไม่ว่ากลุ่มธุรกิจอะไร – สัญชาติไหน ถ้าสิ่งที่เค้าทำนำไปสู่การผูกขาด ซึ่งทำให้การต่อสู้ในระบบเสรีทุนนิยมไม่เป็นธรรม เราประชาชนมีสิทธิพูด-วิพากษ์ ยืนหยัดต่อสู้กับระบบนี้อย่างเต็มที่
.
ครบรอบ10ปีพอดี… ทำให้ผมนึกถึงนโยบายจากรัฐบาล ที่ออกเมื่อปี2554 ที่ออกจะดูไร้เหตุผล และเอื้อหนุนกลุ่มทุนใดทุนหนึ่ง อย่างน่าเกลียด คือโครงการ ” รถคันแรก” โดยรัฐบาลในสมัยนั้น โดยให้เหตุผลว่าเพราะเกิดวิกฤติน้ำท่วมหนัก ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์(ญี่ปุ่น)ในไทย เสียหาย
.
เป็นอีกหนึ่งอภิมหาโครงการประชานิยม ที่อาจไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำอีกแล้ว สำหรับการซื้อรถยนต์แล้วสามารถนำไปขอคืนภาษีกับกรมสรรพาสามิตได้สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท นโยบายดังกล่าวดูแล้วนอกจากเป็นการเอื้อประโยชน์กับนายทุนแบบโจ่งแจ้งแล้ว ยังสร้างนิสัยฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ให้กับประชาชน เพราะตอนนั้นขนาดพนักงานรายได้ต่ำ อย่างพนักงานรับจ้างรายวัน ยังถอยรถป้ายแดงกันออกมาไม่หยุดหย่อน
.
นี่ยังไม่นับเรื่องปัญหาทางสังคมทำรถติดยับๆ ในเมืองแทบอัมพาต และก่อให้ควันดำเพิ่มมลพิษ ให้สิ่งแวดล้อม ทั้งๆที่ทั้งโลกเค้ารณรงค์กันโครมๆ สิริรวมโครงการ “รถคันแรก”จาก16 กย 2554 – 31 ธ.ค. 2555 …มียอดรวมรถคันแรกที่ขอคืนภาษีทั้งสิ้น 1.255 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่รัฐบาลต้องคืนภาษีรวม 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก 3 หมื่นล้านบาทถึง 3 เท่าตัว …จนทำให้การจ่ายเงินคืนภาษี ของกรมสรรพาสามิตมีปัญหาฝืดเคืองขึ้นมาเลย
.
ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม ทำให้ตัวเลขรายได้รวมของกลุ่มไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำในเอเชีย (สินทรัพย์ตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ) เติบโตสูงสุดที่ 7.5 หมื่นล้านบาทในปี 2555 ในปีที่ธุรกิจภาคส่วนอื่นล้มลุกคลุกคลาน ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึง 2.4 ล้านคัน ทั้งที่ตัวเลขผลิตรถยนต์เฉลี่ยต่อปี ได้เพียง 1ล้านกว่ามาตลอด (ยกเว้นปี61 ที่ผลิตได้2.1ล้านคัน/ปี) และตัวเลขก็ไม่เคยมาแตะจุดนั้น จนถึงปัจจุบัน
.
ทำไมเราไม่คำนึงถึงคนส่วนใหญ่ ทำไมถึงสนับสนุน”รถคันแรก” เพื่อบริษัทรถญี่ปุ่น เพื่อกลุ่มทุนขายอะไหล่ ทำไมบอกเท่าเทียม แต่ไม่เท่ากัน ..ในเมื่อทุกอุตสาหกรรม ต่างก็เจ็บตัวทั้งนั้น โครงการดีๆ ที่เอื้อกลุ่มทุนเล็กๆ คนธรรมดาที่มีความสามารถ มีบ้างมั้ย?
.
นี่เลย โครงการ “ธุรกิจแรก” (First Firm) ที่ส่งเสริมSMEs – สตาร์ทอัพ ทำให้ทุกคนในประเทศไทย มีสิทธิมีเสียง สามารถเป็นผู้ประกอบการเริ่มแรก โดยใช้มาตราฐานแบบSandbox Mode คือ ภายใต้สภาพที่ ผู้ประกอบการหน้าใหม่สามารถลองผิดลองถูกได้ ไม่ใช่มาถึงเจอการเก็บภาษี และสงครามกีดกันจากเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่แบบชุดใหญ่ไฟพริบตั้งแต่แรกเริ่ม ยกตัวอย่าง เมื่อเข้าโครงการ “ธุรกิจแรก” ยกเว้นฐานภาษี 1ปี และทะยอยเก็บเพิ่มปีหน้า ,รัฐเป็น Incubator ตัวกลางบ่มเพาะธุรกิจ แบบที่เมืองนอกเค้ามีกัน
.
ใช้หน่วยงานที่มีอย่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, กรมส่งเสริมการส่งออก, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, กรมส่งเสริมการเกษตร หรือแม้กระทั้งศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ TCDC และ สำนักนวัตกรรม NIA ช่วยเหลือผู้ประกอบการ และให้ความรู้เบื้องต้นเมื่อเริ่มทำธุรกิจ – การคิดภาษี – การหาแรงงาน – ให้ข้อมูลโรงงานและแหล่งผลิต
.
ข้อดี ส่งเสริมให้ธุรกิจใหม่ไปให้รอดในระยะยาว เพราะตามสถิติ หากธุรกิจใหม่สามารถดำรงผ่านปีแรก มีแนวโน้มเกิน 70% ที่จะอยู่รอดปลอดภัยตลอดอีก 5ปีข้างหน้า เป็นการสร้างความเจริญแบบยั่งยืนจากกลุ่มธุรกิจเล็ก-ขนาดกลาง ซึ่งเป็นเส้นเลือดฝอยหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ และสามารถจูงใจ ให้ทุกธุรกิจย่อยๆที่ยังไม่อยู่ในระบบ ให้เข้ามาอยู่ในระบบจัดเก็บภาษีของรัฐได้.. ทั้งร้านเล็กๆตามอินสตาแกรม, ไลน์, เฟสบุ๊ค หรือ กลุ่มคนรับฟรีแลนซ์อิสระก็ตาม
.
สิ่งที่รัฐต้องปรับมากที่สุดที่สุด ก็คือ Mindset (มโนคติ)ใหม่: รัฐต้องทำหน้าที่เหมือนเป็นเซลล์แมน ให้มอง ภาษีเงินได้ 20% ที่เก็บจากบริษัททั่วไป กลายเป็นเหมือนเป็นค่าคอมมิชชั่น รัฐสนับสนุนให้เค้าอยู่รอดก่อนในปีแรก มีกำไรเยอะ ตัวเองจึงจะเก็บภาษีได้เยอะ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้ตาย ภาษีเก็บไม่ได้ และไม่มีใครได้อะไร แค่ปรับความคิด ละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วคำนึงถึงผลประโยชน์รวมของชาติเป็นหลัก ไม่ใช่ผลประโยชน์ครอบครัวใด ครอบครัวหนึ่ง เราทุกคน ถึงจะชนะไปด้วยกัน…
#Thepoint #Newsthepoint #พงศ์พลยอดเมืองเจริญ #ลอรี่ #รวมไทยสร้างชาติ