เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย นโยบายหาเสียงแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง
โดยผู้สื่อข่าว ได้ถามว่าจะมีการเตรียมการต่อ ในเรื่องการจะถูกดำเนินคดีหรือยื่นยุบพรรคก้าวไกลอย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคต้องรอคำวินิจฉัยฉบับเต็มอีกครั้ง เพื่อความไม่ประมาททางกฎหมาย เมื่อถามว่าจะมีการต่อสู้หรือโต้แย้งในเรื่องต่างๆ ทางไหนหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นที่สุด โต้แย้งไม่ได้ ก็ต้องเตรียมทุกฉากทัศน์ แต่ไม่ได้กังวลอะไร แต่ก็ไม่ได้ประมาท
เมื่อถามว่า เรื่องการยุบพรรคกลัวจะเป็นเรื่องซ้ำรอยกับพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า มันยังไม่ถึงตรงนั้น โดยขั้นตอนต่อไปเราต้องขอเอกสารตัวเต็ม เพื่อเตรียมรับมือในทางกฎหมาย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อถามว่า ศาลมีการเอ่ยถึงสมาชิกพรรคที่มีการไปประกันตัวผู้ต้องหาใน ม.112 นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้มีปัญหา ที่เรามีความกังวลต่อคำวินิจฉัยที่ไม่มีความชัดเจนแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น การที่บอกว่า การที่มี สส.พรรคก้าวไกล ไปประกันตัวกับผู้ต้องหา ม.112 ว่าพรรคมีเจตนาล้มล้างการปกครองถือว่ามีปัญหา หลักที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อน ไม่ว่าจะถูกกล่าวหาอะไร บุคคลใดก็ต้องถูกมองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงถือว่าขัดกัน
“เอาเข้าจริงๆ การประกันตัวไม่ว่าข้อหาใดๆ ถือเป็นการใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมของทุกคน กระบวนการยุติธรรมไม่ได้ยกเว้นว่าแจ้งข้อกล่าวหานี้ จะต้องถือว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์หรือห้ามประกันตัว ใครเข้ามาเกี่ยวข้องจะถือว่ามีความผิดไปด้วย ไม่เช่นนั้น ผู้พิพากษาที่วินิจฉัยให้ผู้ถูกกล่าวหาในการกระทำผิด ม.112 ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระบวนการล้มล้างการปกครองไปด้วยหรือไม่ เราถึงมีความกังวล เอาล่ะ คำวินิจฉัยออกมาแล้วแต่มันอาจจะส่งผลกระทบในหลักเกณฑ์ในการตีความ ความไม่ชัดเจนแน่นอน ในการใช้กฎหมาย เราก็ไม่รู้ว่าเอามาร้อยรัดกันตีความในเจตนา แล้วแต่ใครจะตีความ ก็อาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต รวมถึงเรื่องขอบเขต อะไรทำได้ ไม่ได้ จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต” นายชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่าเรื่องการแก้ไข ม.112 ตามนโยบายที่พรรคมี แสดงว่าไม่สามารถทำได้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้ก็มีปัญหา เพราะในคำสั่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตอนนี้มี 2 เรื่อง คือ 1.สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด พิมพ์ เขียน โฆษณา เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมาย ม.112 ซึ่งพรรคจะต้องหยุดพูดเรื่องนี้โดยสิ้นเชิงหรือไม่ อย่างไร หรือ พูดได้อย่างเดียวในเรื่องการสนับสนุนอย่างเดียวหรือไม่อย่างไร หรือแม้กระทั่งสื่อ ประชาชนทั่วไป จะแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่ เพราะอาจถูกตีความว่ามีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครอง รวมถึง ข้อเสนอของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ของอาจารย์คณิต ณ นคร ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ สส.พรรคก้าวไกลนำมาใช้เสนอในการแก้ไข หากอิงตามคำวินิจฉัยนี้จะถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองด้วย เพราะมีการเสนอในสำนักพระราชวังร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตนเอง
ส่วนอีกเรื่องคือไม่ให้มีการแก้ไข ม.112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่วิธีการนิติบัญญัติโดยชอบ ก็ไม่ทราบว่าหมายความอะไร จึงต้องดูคำวินิจฉัยโดยละเอียด และยังไม่นับว่าถ้ามีการเสนอกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญ สามารถเข้ามาพิจารณาได้หมด แม้ไม่ผ่านวาระที่ 1-3 ก่อน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบและเป็นปัญหาในอนาคตได้
เมื่อถามว่า 44 คน ที่เคยเข้าชื่อเสนอแก้ไขม.112 อาจจะถูกลงโทษร้ายแรงถึงขั้นตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิด แน่นอนว่าการดำเนินการใดๆ ต่อจากนี้ ยืนยันว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งพรรคก้าวไกล เรามีเจตนาที่จะยุติ เรื่องประเด็นพระมหากษัตริย์เพื่อมาลดความขัดแย้งในสังคมไทย เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อเสนอของสส.พรรคก้าวไกล คือไม่ต้องการให้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อทำร้ายซึ่งกันและกัน เพราะไม่ต้องการเปิดช่องให้ใครผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับตัวเอง และอาศัยความจงรักภักดีนั้น แสวงหาผลประโยชน์ ยันยันว่าเจตนาของเรา ไม่ใช่อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ด้านนายพิธา ได้ตอบคำถามสื่อต่างชาติ ที่ถามว่า มีอะไรอยากฝากถึงกลุ่มโหวตเตอร์หรือไม่ โดยกล่าวว่า เราทำเต็มที่แล้ว ในการจุดเหมาะสมของกฎหมายและปกป้องสถาบันกษัตริย์ไปด้วย ส่วนอีกเรื่องคือ ขอบเขต ระหว่างนิติบัญญัติ และศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่การจัดกิจกรรมทางการเมือง เมื่อเราเห็นพลังของของสังคม เราก็อยากจะเป็นตัวแทนของสังคม เราก็เสนอทุกกฎหมาย ที่เป็นข้อถกเถียงกันนอกสภา แต่คำวินิจฉัยของศาลค่อนข้างมีขอบเขต เจ็บปวด และซ่อนเร้น เกี่ยวกับสถาบัน ที่ไม่ใช่แค่ในไทยแต่ยังรวมถึงที่อื่นๆ ในโลกนี้ด้วย อีกทั้งเรายังสูญเสียพื้นที่การสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากังวล แต่ไม่ได้กังวลทั้งหมด