หน้าแรกการเมือง"ธนาธร"อัดรัฐบาลไม่จัดการสถานการณ์โควิดอย่างเอาใจใส่ เผยคณะก้าวหน้าลงสำรวจเองพบเจอเคสเป็นบวกทุกที่ จี้ตรวจเชิงรุก จัดหาวัคซีนให้เยอะกว่านี้

“ธนาธร”อัดรัฐบาลไม่จัดการสถานการณ์โควิดอย่างเอาใจใส่ เผยคณะก้าวหน้าลงสำรวจเองพบเจอเคสเป็นบวกทุกที่ จี้ตรวจเชิงรุก จัดหาวัคซีนให้เยอะกว่านี้

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความระบุว่า ผมไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมรัฐบาลไม่จัดการสถานการณ์โควิดอย่างเอาใจใส่? ผมคิดว่าปัญหาโควิดขณะนี้มีอยู่ 5 ประเด็น 1) เรื่องการตรวจหาโรค เราตรวจหาโรคไม่พอในสภาวะแบบนี้ ที่ผ่านมาทางมูลนิธิไทยซัมมิทพัฒนา ร่วมกับทางคณะก้าวหน้า ลงพื้นที่ทำการตรวจเชิงรุกแบบ rapid antigen test ให้กับชุมชนหลายแห่งในพื้นที่ระบาด หรือที่ทางกระทรวงสาธารณสุข หรือทางกรุงเทพมหานครเข้าไม่ถึง ต้องบอกว่าทุกที่ที่เราไปตรวจ เราเจอเคสที่เป็นบวกทุกที่ และทุกครั้งที่เจอมันหมายความว่าการตรวจสอบในสภาวะปัจจุบันมันไม่ทั่วถึงจริงๆ
.
ผมยกตัวอย่าง ในครอบครัวผมมีคนที่ติดโควิด และมีสมาชิกในครอบครัวไปขอตรวจ ยังต้องเสียเงินหลายพันบาท ทั้งที่ตามกฎเกณฑ์ของศบค. ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยโควิดเป็นผู้เสี่ยงสูง ต้องได้ตรวจฟรี แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่ ดังนั้น ถ้าเป็นคนที่มีรายได้น้อย สมาชิกในครอบครัวติดแล้วไปขอตรวจฟรีก็ไม่ได้ ต้องจ่ายเงิน 3,000-5,000 บาท จะเอาเงินที่ไหนตรวจ ในต่างประเทศการตรวจฟรีเป็นเรื่องสำคัญ การตรวจเชิงรุกเป็นเรื่องสำคัญ การจัดอุปกรณ์ให้ประชาชนสามารถตรวจโควิดได้ด้วยตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ตรงนี้ผมคิดว่ารัฐบาลยังให้ความสำคัญไม่เพียงพอ
.
2) เรื่องการจัดหาวัคซีนเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจมากเลย ไม่มีทางเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีไฟเซอร์, โมเดอร์นา, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน หรือวัคซีนอะไรก็แล้วแต่ ถ้ารัฐบาลจะจัดซื้อวัคซีนให้ได้ร้อยล้านโดสมันง่ายมาก คุณประยุทธ์ไปเจรจายกหูหาซีอีโอได้เลย คำถามที่ต้องถามมีสามข้อ คือคุณมีวัคซีนเหลืออยู่เท่าไรที่จัดส่งได้ปีนี้ จะได้เดือนไหนบ้าง แล้วราคาเท่าไหร่ ถ้าเงื่อนไขนี้ทำได้ก็จับมือกันเลย
.
ปัญหาคือเราพูดเรื่องไฟเซอร์มาสองเดือนสามเดือนแล้ว รัฐบาลไม่เคยออกมาชี้แจงว่าตกลงเจรจาแล้วเป็นอย่างไร จะมาเมื่อไหร่กันแน่ แบบชัดๆ ทำไมต้องรอให้องค์กรนั้นองค์กรนี้ไปเจรจา นายกรัฐมนตรียกหูหาซีอีโอสิบนาทีก็รู้เรื่องแล้ว เริ่มคุยกันได้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องภาวะผู้นำชัดๆ เลย และผมหาตรรกะไม่เจอว่าทำไมไม่ทำแบบนี้
.
การฉีดวัคซีนวันนี้ตั้งเป้าร้อยล้านโดสภายใน 31 ธันวาคม นั่งนับวันแล้ว ไม่มีวันไหนฉีดได้เกิน 5 แสนโดสเลย ลดลงทุกวัน หลังจากที่รณรงค์ฉีดวันแรกมาจนถึงวันนี้ฉีดไปแล้ว 8.1 ล้านโดส ลบ 100 ล้านโดสออกไป เหลือ 91.9 ล้านโดสที่ต้องฉีด เฉลี่ยเราเหลืออยู่ 190 วันไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม หมายความว่าต้องฉีดให้ได้วันละ 4.8 แสนโดส ศักยภาพของเราสามารถฉีดได้ แต่คำถามคือมีวัคซีนฉีดพอเท่านี้ทุกวันหรือเปล่า นี่คือปัญหา
.
3) ปัญหาคือมันไม่มีวัคซีน แล้วพอพูดถึงการฉีดวัคซีน อีกอย่างที่น่าเจ็บใจมากที่สุดสำหรับประชาชน คือประชาชนไม่เคยเห็นข้อมูลตรงนี้เลย ตกลงสต็อกวัคซีนทั้งประเทศตรงนี้มีอยู่เท่าไหร่ ส่งไปที่ไหนจังหวัดไหน องค์กรไหนบ้าง สถานีฉีดแถวบ้านเหลือสต็อกเท่าไหร่ โรงพยาบาลนี้ จังหวัดนี้เหลือเท่าไหร่
.
มันน่าเจ็บใจมาก ถ้าคุณบริหารโลจิสติกส์เรื่องนี้ไม่ดีจะฉีดได้อย่างไรวันละ 4.8 แสนโดส มันเป็นความท้าทายมาก ดังนั้นจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีความสามารถในการจัดการซัพพลายเชนของวัคซีนทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่รับมา ไปที่กระทรวงไหนบ้าง ไปที่หน่วยงานไหนบ้าง ไปที่จังหวัดไหนเท่าไหร่ แล้วตามย้อนหาต้นตอที่มากลับไปถึงต้นทางได้หมด ไปจนถึงสถานีฉีด ตกลงทั้งประเทศมีสถานีฉีดกี่สถานี แต่ละสถานีเหลือสต็อกเท่าไหร่ เพื่อจัดสมดุลและจัดส่งให้ได้ตามจำนวนที่ไม่มากเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดแคลน
.
จะบริหารอย่างนี้ได้ต้องมองเห็นตัวเลขและฐานข้อมูลทั้งหมด แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัคซีน การฉีดวัคซีนให้ได้มากเพียงพอ ผมคิดว่าเหตุผลเดียวที่ไม่เปิดเผยเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ก็คือความต้องการที่จะปกป้องบางบริษัท ผมคิดออกเหตุผลเดียวเท่านั้นเอง ผมพยายามนั่งถอดตรรกะ พยายามคิดแทนรัฐบาลเยอะมาก ว่าทำไมถึงบริหารจัดการแบบนี้
.
มีใครไม่รู้ปัญหาบ้าง ว่าเราต้องการวัคซีนที่หลากหลายมากกว่านี้ เร็วกว่านี้? มีใครไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ? คำตอบคือไม่มี แล้วทำไมไม่ทำ? มันทำไม่ยากเลย มีใครไม่รู้บ้างว่าการบริหารวัคซีนจะต้องจัดการซัพพลายเชนให้ดี มีใครไม่รู้บ้างว่าจะต้องเปิดข้อมูลให้โปร่งใส ประชาชนตรวจสอบได้ ไปดูต่างประเทศ เว็บไซต์ของนิวยอร์กหรือว่าเมืองอะไรต่างๆ ที่ผมไปนั่งดู มันมองเห็นหมดลงถึงขนาดพื้นที่เลย เราตอบคำถามไม่ได้ว่าทำไมถึงบริหารแบบนี้ นอกจากเหตุผลเดียว คือเพียงต้องการปกป้องบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นการเฉพาะ
.
4)ภาวะวิกฤติเป็นภาวะที่พิสูจน์ความเป็นผู้นำ เป็นภาวะที่ผู้นำจะต้องมานั่งหัวโต๊ะเอง สั่งการเอง ตัดสินใจในเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งเราไม่เห็นภาวะแบบนี้จากผู้นำคนปัจจุบัน เราไม่เห็นการใช้ภาวะผู้นำเลย รวบอำนาจไปกี่ทีแล้วไม่เห็นอะไรที่ดีขึ้น ดังนั้น สำหรับผมมันจึงเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสำหรับประชาชน
.
5) ประการสุดท้าย เรื่องการดูแลผู้เสี่ยงและผู้ติดเชื้อ ปัจจุบันโรงพยาบาลเริ่มออกมาบ่นแล้วว่าใกล้เต็มกำลัง จะเกินศักยภาพแล้ว ต่างจังหวัดถ้ามีแล้วมันควบคุมได้ง่ายเพราะจำนวนบ้านที่ติดกันไม่หนาแน่น สภาพเศรษฐกิจยังเป็นแบบเกษตรกรรม ทำให้การรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ การเดินทางในระบบขนส่งมวลชน มันไม่เกิดขึ้น
.
ดังนั้น ในต่างจังหวัดมันควบคุมค่อนข้างง่าย แต่ในเมืองใหญ่ที่มีลักษณะเป็นเมืองอย่างกรุงเทพหรือสมุทรปราการ บานปลายมากตอนนี้ แล้วการจัดการดูแลก็ไม่เต็มที่ ผมยกตัวอย่างกลุ่มเส้นด้าย ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนต้องทำเอง ต้องออกมาดูแลคนที่เสี่ยงและคนที่ติดเชื้อ ส่งพวกเขาไปที่สถานพยาบาล แล้วบทบาทรัฐอยู่ตรงไหน มันเห็นได้ชัดเลย ว่ากระบวนการจัดการการเอาใจใส่จริงมีน้อยมากเหลือเกิน เป็นที่น่าเสียดาย
.
ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือต้องตรวจเชิงรุกให้มากกว่านี้ จัดหาวัคซีนให้เยอะกว่านี้ หลากหลายกว่านี้ เร็วกว่านี้ วางแผนจัดฉีดวัคซีนให้มองเห็นตลอดซัพพลายเชน และดูแลคนติดเชื้อและผู้เสี่ยงให้ดีกว่านี้ มันอาจจะฟังดูยากแต่ผมว่ามันทำได้ และผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมรัฐบาลไม่ทำเรื่องนี้อย่างเอาใจใส่
.

ThePOINT #ข่าวการเมือง #ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ #คณะก้าวหน้า #วัคซีน #โควิด

Must Read

Related News

- Advertisement -