ดร.อบรม อรัญพฤกษ์ อาจารย์คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง และที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ซึ่งได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าในการแก้ไขเหตุการณ์น้ำมันรั่วกลางทะเล เมื่อคืนวันที่ 25 ม.ค. ที่ล่าสุดคราบน้ำมันได้ลอยมาถึงชายหาดแม่รำพึง อ.เมือง จ.ระยอง และพื้นที่ใกล้เคียง ระบุว่า ประเด็นสำคัญขณะนี้คือไม่รู้ว่าจำนวนน้ำมันรั่วไหลที่แท้จริง ถ้ามีความชัดเจนจึงจะคำนวณพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบได้อย่างแน่ชัด และตัวเลขที่ต่างกันเยอะยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่
.
อย่างไรก็ตาม จำนวนจะรั่วไหลเท่าใดชาวบ้านไม่ได้สนใจ แต่อยากรู้ว่าจะส่งผลอะไรมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าต้องส่งผลกับระบบนิเวศทางทะเล กุ้งหอยปูปลาหมึกที่ต้องตาย อีกนานไหมกว่าธรรมชาติจะฟื้นตัว แต่บรรยากาศการท่องเที่ยวนั้นจบแล้ว มีการยกเลิกห้องพักจำนวนมาก ทั้งที่ฝั่งระยองและเกาะเสม็ด
.
ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ยังแสดงความกังวลถึงการขจับคราบน้ำมัน ซึ่งพบว่าใช้วิธีการแบบเดิม คือการซับด้วยกระดาษ บูม การโกย การดูด การตัก เพื่อนำกลับเข้าโรงงาน ทำไมจึงไม่กักไว้ในบริเวณเพื่อดูจำนวนรั่วไหลที่แท้จริง ทั้งยังเป็นอันตรายด้วย เนื่องจากน้ำมันดินมีสารเคมีอันตรายหลายอย่าง วิธีการกำจัดแบบนี้ยังโบราณ ไม่ทันต่อสถานการณ์ ทำไมไม่คิดในแนวทางใหม่ ทั้งที่ขณะนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาขยะอินทรีย์ด้วยการบำบัดทางชีวภาพ
.
“อย่างการใช้จุลินทรีย์ฉีดคลุมพื้นที่ ซึ่งจุลินทรีย์นี้จะเข้ามากินไฮโดรคาร์บอนเป็นอาหารแล้วย่อยสลายไปในทะเลเลย ในประเทศไทยก็มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้จำหน่าย ไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ งานนี้ใช้วิธีแบบลูกทุ่งไม่ได้ ต้องใช้นวัตกรรมใหม่ๆ การฉีดสารเคมีให้ไปจับตัวกับคราบน้ำมันแล้วจมสู่ก้นทะเลก็ยิ่งสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ”ดร.อบรม กล่าว
.
ดร.อบรม ระบุว่า การบริหารจัดการต่อสถานการณ์เช่นนี้ ยังควรมีความชัดเจนว่าท่านใด หรือหน่วยงานใดเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ระเบียบและกฎหมายต่อการจัดการภัยพิบัติต่างๆ ของไทยมีความลักลั่น ทั้งระดับส่วนกลางและภูมิภาค แม้จะมีการประกาศเขตภัยพิบัติโดยผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว จากนั้นแผนปฏิบัติการจะทำอย่างไรต่อ ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเรือ กระทรวงทรัพยากรฯ กรมควบคุมมลพิษ รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ
.
นอกจากนี้ ดร.อบรม ซึ่งเคยทำงานในธุรกิจพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยังได้โพสต์ข้อมูลเกี่ยวสารเคมีในน้ำมันดิบ ว่ามีหลายตัวที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นและระยะเวลาที่สัมผัส ประกอบด้วย Benzene เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ , ดูดซึมทางผิวหนังหรือปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำ พิษเฉียบพลันอาจทำให้อาเจียน , ระคายเคืองกระเพาะอาหาร , วิงเวียนศีรษะ , ระคายเคืองตา จมูก ลำคอและผิวหนัง ผู้ที่มีโรคเรื้อรังเช่นโรคหอบหืดอาจจะมีความไวต่อไอระเหยของเบนซิน ส่วนพิษเรื้อรังอาจทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว
.
Hydrogen sulfide เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ หรือดูดซึมทางผิวหนัง พิษเฉียบพลันทำให้ระคายเคืองตา จมูก และลำคอ ส่วนพิษเรื้อรังอาจส่งผลต่อระบบความจำ
Ethyl Benzene เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ , ดูดซึมทางผิวหนังหรือปนเปื้อนในน้ำ พิษเฉียบพลันทำให้วิงเวียนศรีษระ ระคายเคืองตา และลำคอ
Toluene เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ , ดูดซึมทางผิวหนังหรือปนเปื้อนในน้ำ พิษเฉียบพลันคือสูญเสียการทรงตัว การได้ยิน การมองเห็น หมดสติ ส่วนพิษเรื้อรังจะส่งผลต่อระบบประสาท ไต
Xylene เข้าสู่ร่างกายด้วยการหายใจ , ดูดซึมทางผิวหนังหรือปนเปื้อนในน้ำ พิษเฉียบพลันทำให้ปวดศีรษะ , ระคายเคืองผิว ตาจมูก ลำคอ และกระเพาะอาหาร หรือหมดสติ สำหรับพิษเรื้อรังมีผลต่อระบบความจำ ตับ และไต
Naphthalene เข้าสู่ร่างกายด้วยการหายใจ , ดูดซึมทางผิวหนังหรือปนเปื้อนในน้ำ พิษเฉียบพลันทำให้คลื่นไส้ , อาเจียน , ท้องเสีย , ปัสสาวะมีเลือด , ผิวหนังมีผื่นขึ้นและมีสีเหลือง ส่วนพิษเรื้อรังอาจส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง , โรคโลหิตจาง
Alkanes เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ , ดูดซึมทางผิวหนังหรือปนเปื้อนในน้ำ พิษเฉียบพลันมีผลให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงและชา ส่วนพิษเรื้อรังอาจทำให้กล้ามเนื้อแขนขาสูญเสียความรู้สึก
.
#ThePOINT #ข่าวสังคม #อบรมอรัญพฤกษ์ #ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดระยอง #น้ำมันรั่ว #มาบตาพุด