นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.66 ตอน “จุดเปลี่ยนเกม” โดยเตือนสติพรรคเพื่อไทยให้ยึดมั่นประกาศสัญญาประชาคมไม่ข้ามขั้วสลับข้างไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเป็นจุดหักเหนำประเทศสู่หายนะ เพราะประชาชนไม่ทนต่อการตระบัดสัตย์และจะออกมาชุมนุมต่อต้านรุนแรงบนถนน
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยากจะไปถึงเป้าหมายเป็นนายกฯ และได้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เพราะถูกกรณีแก้ ม.112 กำหนดห้ามมาตั้งแต่ต้น ซึ่งที่ผ่านมาได้เตือนด้วยความหวังดีมาแล้ว
อีกทั้ง ระบุถึงสิ่งที่น่ากังวลว่า การแก้ ม.112 แม้พรรคก้าวไกลไม่บรรจุใน MOU 8 พรรค แต่จะเสนอในนามพรรคตัวเอง ถึงที่สุดแล้วคงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ซึ่งไม่แตกต่างกับการเสนอแก้ รธน. 2560 ในบทเฉพาะกาล ม. 272 เพื่อยุติ ส.ว.มีบทบาทโหวตนายกฯ ย่อมสำเร็จได้ยาก เพราะเสนอมาแล้วถึง 6 ครั้ง ก็ยังแก้ไม่ได้
“การตั้งรัฐบาลหนนี้ เริ่มเดินไปสู่จุดหักเหของสถานการณ์แล้ว โดย 19 ก.ค นี้ เป็นการโหวตนายกฯ ครั้งที่สอง และศาล รธน มีการประชุมช่วงเช้าเช่นกัน หากศาล รธน.มีมติรับเรื่องถือหุ้นไอทีวีไว้พิจารณา ย่อมต้องสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่นายพิธาเช่นกัน ดังนั้น นายพิธา คงต้องถูกเชิญออกจากห้องประชุมสภา อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีโอกาสได้โหวตนายกฯ สักกี่ครั้ง สิ่งสำคัญเสียงย่อมไม่ได้ถึง 376 อยู่ดี”
นายจตุพร ประเมินการย้ายขั้วของพรรคเพื่อไทยว่า แม้สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อเคยประกาศไม่จับมือ พปชร. รวมทั้ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ได้ประกาศสอดคล้องกับนายเศรษฐา ทวีสิน และอ้างอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร รับรู้แล้วนั้น ถ้าเพื่อไทยกล้าข้ามขั้วไปจับมือกับ พปชร. จะเป็นจุดหักเหทางการเมืองและประชาชนจะลงถนนต่อต้านอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังเชื่อว่า วันไหนย้ายขั้วสลับข้าง บ้านเมืองเกิดวิกฤตใหญ่ทันที เพราะเพื่อไทยไปประกาศไม่จับมือ พปชร ประชาชนจะไม่ทนพฤติกรรมตระบัดสัตย์ทางการเมือง เนื่องจากคำประกาศย่อมเป็นนายของตัวเอง
“แต่ถ้าผิดคำพูด ที่เคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้ก็ฉิบหายทันที เมื่อประชาชนทั้งด้อมส้มและเสื้อแดงออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลเพื่อไทย แล้วจะกล้าปราบหรือ?” นายจตุพร ย้ำ