เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า แนวโน้มนักโทษทักษิณ ชินวัตร มี 2 ทางเลือกให้เดินเท่านั้น คือ หนีคดี ม.112 ไปต่างประเทศอีกครั้ง กับเชือดนายเศรษฐา ทวีสิน ให้พ้นจากนายกฯ เพื่อแลกกับความมั่นใจได้ประกันตัวเมื่อถูกนำตัวฟ้องศาลในวันที่ 18 มิ.ย.นี้
“ทักษิณเป็นคนกลัวคุกและคิดทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ดังนั้นก่อนถึง 18 มิ.ย.นี้ จะเห็นร่องรอยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น ถ้าทักษิณ ไม่หลบหนีไปต่างประเทศ แต่ยอมถูกนำตัวฟ้องต่อศาลอาญาข้อหาคดี ม.112 แล้ว นายเศรษฐา ต้องหลุดจากนายกฯ เพื่อแลกกับการได้ประกันตัว ถ้ารอผลวินิจฉัยของศาล รธน. ยิ่งจะเสี่ยงกับผลร้ายตามมามากกว่า”
พร้อมทั้งกล่าวว่า ถ้า 18 มิ.ย.นี้ นักโทษทักษิณ ถูกนำตัวไปศาลอาญาฟ้องคดี 112 ต้องมั่นใจว่า ได้รับการประกันตัว ซึ่งวันนั้นเชื่อว่า คงไม่มีนายเศรษฐา เป็นนายกฯ ดังนั้น จึงไม่ควรประมาทสถานการณ์ข้างหน้าที่กลุ่มทุนการเมืองกับนักโทษทักษิณพยายามตั้งรัฐบาลโดยคงกลไกอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้ดั่งเดิม ซึ่งจะยิ่งนำพาให้ประเทศไปสู่ความชะงักงันได้
นายจตุพร กล่าวว่า การตั้งนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นที่ปรึกษานายเศรษฐา เพื่อดูงานด้านกฎหมาย แต่การไปทาบทาม ต้องการให้มาเป็นรองนายกฯ แต่ถูกปฎิเสธ เพราะไม่ต้องการตระบัดสัตย์กับคำพูดตัวเองที่จะไม่มายุ่งกับตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้ว
อีกทั้งกล่าวว่า นักโทษทักษิณ เคยตราหน้านายวิษณุ เป็นคนน่ารังเกียจ ส่วนนายเศรษฐา กล่าวหาว่า เป็นคนไม่มียางอาย อย่างไรก็ตาม ถ้ากลไกรัฐบาลเดินไปแบบพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลผสมกับกลไกของ พล.อ.ประยุทธ์ จะยิ่งสร้างความอึดอัดให้ประชาชน เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่แคร์ประชาชน ดังนั้น คู่ดีลอีกฝ่ายจึงต้องรุกกลับ เพราะอับอายที่ตัวเองมียศตำแหน่งใหญ่โตแต่ถูกหักหน้าโดยคนอย่างนักโทษทักษิณที่ถูกถอดยศตำแหน่งไปจนหมดสิ้นแล้ว
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การจับมือร่วมเป็นร่างเดียวกันระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับทักษิณ จะเกิดความเสียหายให้บ้านเมืองอย่างมากมาย แม้นักการเมืองต้องการให้เป็นเช่นนี้ แต่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา” นายจตุพร ประเมินอนาคตประเทศไทยต้องมาก่อน