.
จากกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ตั้งข้อสังเกตการจัดหาวัคซีนทางเลือกของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยพาดพิงไปถึงคุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ เครือแปซิฟิก สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก จส.100 ระบุว่า “เข้าไปฟังห้องราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ อธิบายเรื่อง ซิโนฟาร์ม ได้รับไมค์ แต่ระหว่างรอถามกลับโดนเตะลงมา และปิดไม่ให้ยกมือถามอีก เลยขอถามทางนี้ค่ะ ที่จุฬาภรณ์บอกว่าจะหัก 10% จากที่เอกชนซื้อ เป็นวัคซีนบริจาคให้คนด้อยโอกาส จุฬาภรณ์จะใช้อะไรวัดว่าใครด้อยโอกาสและควรได้วัคซีนบริจาค
.
น.ส.พรรณิการ์ โพสต์อีกว่า คำถามที่สอง เห็นว่ามีคนติดต่อขอซื้อเยอะ น่าจะเกินจากจำนวน 1 ล้านโดสแรกที่มี จะมีวิธีการอย่างไรในการเลือกว่าจะขายให้กับเจ้าไหน เพราะเท่าที่ฟัง มีทั้งบริษัทเอกชนใหญ่อย่างปตท. สภาอุตสาหกรรม และอบจ. หลายจังหวัด แบบนี้เท่ากับอำนาจในการจัดสรรวัคซีนส่วนนี้จะอยู่ที่จุฬาภรณ์ ไม่ใช่รัฐ? สำหรับผู้ที่สงสัยว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่บอกว่าเอารายได้ตัวเองไปซื้อวัคซีน ซิโนฟาร์ม ตกลงหน่วยงานนี้ได้รับงบจากภาษีประชาชนหรือไม่ คำตอบคือ ได้ค่ะ ได้ปีนี้ 5,700 ล้านบาท ปีที่แล้ว 7,700 ล้านบาทค่ะ”
.
จากนั้นนายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ต้องออกมาชี้แจงรายละเอียดการคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดและยืนยันว่าไม่มีการบวกเพิ่มแม้แต่บาทเดียว
.
ต่อมาเพจดัง ได้มีการโพสต์ข้อความ โดยระบุว่า ในส่วนของค่าใช้จ่ายราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มีในการวิจัยและพัฒนา ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ที่ทันสมัย และการพัฒนาบุคลากร รวมไปถึงการช่วยเหลือประชาชนในการตรวจคัดกรองและการรักษา ทำให้ พ่อของบางคนได้รักษามะเร็งด้วยอุปกรณ์เครื่องมือที่ดีที่สุด
.
ทั้งนี้เมื่อข้อความดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อสงสัยว่า พ่อของใครที่ได้รักษาโรคมะเร็ง จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
.
ทำให้น.ส.พรรณิการ์ ออกมาโพสต์ข้อความตอบโต้ ว่า”ตลกคนที่เอาข่าวไปปล่อยว่าพ่อดิฉันก็เคยไปรักษามะเร็งที่จุฬาภรณ์ ทำไมไม่สำนึกบุญคุณ
- พ่อไม่เคยไปรักษามะเร็งที่นั่น
- ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับสถานะการเป็นหน่วยรับงบประมาณของราชวิทยาลัย รพ.ก็ต้องเปิดให้คนไปรักษา เป็นบุญคุณจากภาษีประชาชน ที่ทำให้คนไข้มะเร็งได้รักษาในราคาไม่แพง”
.