เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวภายหลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ซึ่งกลุ่ม 21 สส. ผลักดันเลือก นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่สำเร็จ ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และ นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ตามด้วย นายสุรันต์ จันทร์พิทักษ์ อดีต สส.กทม., น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ อดีต สส.กทม., นายธนวัช ภูเก้าล้วน อดีตผู้สมัคร สส.กระบี่ เขต 1 ที่ประกาศลาออกผ่านสื่อออนไลน์
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น. ของวันนี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “คิดหนักมา 2 วัน แม้ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ แต่ในวันที่จิตวิญญาณประชาธิปัตย์มิอาจเปล่งประกาย หลังหารือทีมงานที่สู้ร่วมกันมากว่า 28 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยรักและผูกพัน”
ทั้งนี้ นายสาทิตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจลาออกจากพรรคเพิ่มเติมว่า สืบเนื่องจากกรณี นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคระหว่างการประชุมใหญ่วิสามัญที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดมิติใหม่คือลาออกแต่ไม่ไปอยู่ที่ไหน หรือสังกัดพรรคการเมืองใด โดยให้เหตุผลว่าหากอยู่ก็จะเป็นที่หวาดระแวงของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งตนมองเหตุผลคือต้องการเปิดพื้นที่ หรือเปิดทางให้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดนี้ทำงานโดยไม่ต้องหวาดระแวงในตัวท่าน ส่วนการตัดสินใจของตนเอง เกิดขึ้นหลังจากที่เห็นกระบวนการตั้ง กก.บห. และมองว่ามันไปอย่างนี้ไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา คือไม่ได้มีตัวแทนจากทุกกลุ่มที่เข้ามา จนกลายเป็นระบบพรรคพวก
“มันไม่ใช่จิตวิญญาณของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็น หรือที่พวกเรารู้จักมาตลอด ผมจึงต้องลาออกมาก่อนเพื่อแสดงให้รู้ว่าเราต้องการจิตวิญญาณพรรคที่แท้จริง และชี้ให้เห็นว่าจิตวิญญาณแบบนี้มันไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจไปไหน หรือทำอะไร เพียงแต่เราออกมาเพื่อจะถอยมาตั้งหลัก และดูเหตุการณ์ว่าพรรคจะดำเนินการไปอย่างไรต่อไป”
เมื่อถามว่า กรณีที่ นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ระบุ หากรักพรรคจริงต้องอยู่พรรคต่อเพื่อช่วยกันฟื้นฟูพรรคนั้น นายสาทิตย์ ขอย้อนกลับไปว่า หากรักพรรคจริงมันต้องไม่ทำกันแบบนี้มาตั้งแต่ต้น จะเห็นว่าคนที่ลาออกไปหลายคนใน 2-3 วันนี้ เป็นลูกหม้อของพรรคที่อยู่มายาวนานแล้วทั้งนั้น สำหรับตนเข้ามาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เป็นยุวประชาธิปัตย์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และเป็นกรรมการบริหารพรรคสาขาตรังตั้งแต่อายุครบเกณฑ์ และมาลงสมัคร สส.ตั้งแต่ปี 2538 ได้เป็น สส.ยาวนานตลอดมาถึงการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ทั้งหมด 7 สมัย ร่วม 28 ปี หากนับรวมๆ แล้วตนอยู่กับพรรคมาถึง 40 กว่าปี ซึ่งตนเชื่อว่าจะมีคนประชาธิปัตย์หลายคนที่จะทยอยลาออกอีกจำนวนมาก
“ผมขอฝากถึงคนที่อยู่กับพรรคต่อไปว่า ต้องตั้งคำถามให้หนักว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดจากอะไร ขออย่าไปโทษคนอื่นว่าเขาไม่รักพรรคหรือไม่ห่วงพรรค ไม่ยอมเข้ามาช่วยกันฟื้นฟู มันต้องมองให้พ้นตัวเองออกไปว่าทำไมคนที่เขาอยู่กับพรรคมายาวนานจึงพร้อมใจกันคิดแบบนี้ หากจะมองในมุมของตัวเองเท่านั้น หรือมองไม่ผ่านจุดนี้ได้ ก็ยากที่จะฟื้นฟูพรรคขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ยังมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่ง ได้ทำหนังสือแสดงความจำนงขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เช่น นายวิบูลย์ ศรีโสภณ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตลอดชีพตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2541 โดยในหนังสือระบุถึงสาเหตุขอลาออกว่า 1. อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนไป เน้นใช้เงินสร้างพรรรคและ สส.ในสมาชิกพรรค 2. หัวหน้าพรรคตระบัดสัตย์ ไม่รักษาคำพูด ไม่สามารถให้การเคารพได้อีกต่อไป และ 3. หัวหน้าพรรคสร้างทัศนคติให้ สส.ในพรรคขาดความเคารพ กระด้างกระเดื่องกับอดีตหัวหน้าพรรค สร้างความแตกแยกในพรรค ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนตลอด 77-78 ปี.
