จากการที่นายธนาธร ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ กรรมกรข่าวคุยนอกจอ วันที่ 20 พ.ย. 2566 ความว่า “ผมคิดว่าเพื่อไทยคือมิตร พูดอีกทีผมก็กล้าพูด… พันธมิตรระหว่างก้าวไกลและเพื่อไทย จะทำให้ประเทศก้าวหน้าที่สุด และกลับมาเป็นประชาธิปไตย แม้จะเจ็บปวดและเสียใจที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ตั้งรัฐบาลกับเรา แต่ก็เข้าใจข้อจำกัดของพรรคเพื่อไทย” นั้น
ช่วงนี้นายธนาธรฯ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง และแสดงความเห็นในนโยบายเงินดิจิทัล ของนายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทยโดยเปรียบเทียบว่าตนจะใช้เงิน 5 แสนล้านอย่างไรในหัวข้อ “ประเทศไทยควรได้อะไร ถ้าต้องใช้ 5 แสนล้าน” ที่ใจความสำคัญก็ไม่มีอะไรใหม่ พอสรุปได้ว่าหากมีเงิน 5 แสนล้าน สิ่งที่ควรจะทำก็คือการกระจายเงินไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้านนอกเหนือจากงบประมาณประจำที่รัฐต้องจ่ายอยู่แล้ว 5 ด้านที่ว่านี้ ก็ได้แก่ การสาธารณสุข การคมนาคม น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ และการศึกษา ซึ่งโครงการเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานถึง 8 ปีตามที่นายธนาธรฯ กล่าว จึงเป็นการยกนโยบายคนละเรื่อง คนละวัตถุประสงค์ มาเปรียบเทียบคัดค้านกับนโยบาย Digital Wallet ของนายกและพรรคเพื่อไทยที่ต้องการสร้างกำลังซื้อในทุกชุมชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่ม GDP ในทันที ก่อนที่รัฐบาลจะพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนโยบายเศรษฐกิจระยะยาวต่อไป
ฟังที่นายธนาธรฯ พูดแล้วเหมือนจะดูดี และมาอย่างเป็นมิตร แต่การกระทำของนายธนาธรฯ และพรรคก้าวไกล รวมถึงนางสาวศิริกัญญาฯ รองหัวหน้าพรรคที่เพิ่งให้สัมภาษณ์ออกรายการนายสุทธิชัย หยุ่น แบบยกทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ท่องๆ มาติอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นอื่น หรือเสนอแนะแนวทางดำเนินการ แก้ไขให้นโยบายที่เป็นประโยชน์ของรัฐบาลสามารถดำเนินไปได้ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัด และความเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าอย่างมีประสิทธิภาพทันทีในตอนนี้ ที่เขาเรียกว่าติเพื่อก่ออย่างกัลยาณมิตร ซึ่งเชื่อว่านายกเป็นคนรับฟังเหตุผลอย่างแน่นอน แล้วจะให้เรียกว่า “มิตรแท้” ทางการเมืองได้อย่างไร ? ทั้งที่นายธนาธรฯ พูดเองว่าตนเข้าใจข้อจำกัดของพรรคเพื่อไทย…
ณ เวลานี้ คงไม่มีสิ่งใดเป็นข้อพิสูจน์ที่ดี และจริงใจมากกว่า การที่นายธนาธรฯ และแกนนำพรรคพรรคก้าวไกล จะออกมาช่วยกันทำงานผลักดันให้นโยบายของท่านนายกและพรรคเพื่อไทยให้เกิดผลสำเร็จเป็นประโยชน์กับประชาชน โดยการเป็นฝ่ายค้านที่ “ติเพื่อก่อ” อย่างสร้างสรร ไม่ก้าวล่วงสถาบันฯ ที่เป็นที่เคารพรัก ไม่สร้างเงื่อนไข หรือจุดประเด็นความขัดแย้งใดๆ และควรปรามทัวร์ด้อมส้มด้วย อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่า “กัลยาณมิตร” ทางการเมือง และเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างกระแสนิยมให้พรรคของตนเองเอาใจด้อมไปวันๆ !!! หากไม่ปรับตัวแม้จะได้คะแนนเสียงมากเท่าไหร่ ที่สุดท้ายก็ต้องถูกผลักให้ไปเป็นฝ่ายค้านอยู่ร่ำไป เพราะร่วมงานกับใครก็ไม่ได้ แล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและประเทศได้อย่างไร?