วันที่ 2 พ.ย. นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (กทม.) ระบุถึงกรณีพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงการดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารว่าดื่มได้ถึงเวลา 21.00 น.เท่านั้น จะไม่มีการขยายเวลาเพิ่ม ส่วนหากดื่มไม่หมดก็เททิ้งไป ว่า หลังจากได้เห็นคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.อัศวินแล้วรู้สึกสลดใจและเห็นใจคนกลางคืนเป็นอย่างยิ่งที่มีผู้ว่าฯกทม. ซึ่งไม่สนใจและไม่เข้าใจธุรกิจกลางคืน หรือคนกลางคืนแม้แต่นิดเดียว สาเหตุอาจเพราะการไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นตำรวจมาทั้งชีวิตจึงเคยชินแต่การใช้คำสั่ง ถึงเวลาก็มีเงินเดือนมา ดีไม่ดีปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทงก็ไม่รู้ว่ามีกระเช้ามาให้ด้วยหรือไม่
.
“ชินกับการรับ กระทั่งตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ก็รับมาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ ไม่ได้มาจากประชาชน จึงไม่เข้าใจปัญหาของคนทำมาหากินเลย การเปิดร้านแต่ละวันแต่ละคืน เจ้าของร้านและลูกจ้างต้องมีภาระมากแค่ไหนท่านรู้หรือไม่ สมัยผมทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้านอาหารเวลาเริ่มงานคือ 16.00-01.00 น. คือ 9 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ลองคิดดูถ้าเลิก 21.00 น. เวลาทำงานจะเหลือเพียง 5 ชั่วโมง รายได้ก็ต้องลดตามชั่วโมงงาน แต่ค่ารถมาทำงานยังเท่าเดิม มันคุ้มกับเขาหรือไม่”นายเท่าพิภพ กล่าว
.
นายเท่าพิภพ ระบุว่า นอกจากนี้ยังไม่นับธุรกิจกลางคืนที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดก็ขาดรายได้มานาน ในมุมของเจ้าของร้านยิ่งแล้วใหญ่ หากเปิดร้าน 16.00 น. กว่าจะมีลูกค้าเข้าจริงคือหลังเลิกงานก็ประมาณ 18.30 เป็นต้นไป แต่ประมาณ 2 ทุ่มก็ต้องบอกลูกค้าว่าจะสั่งเครื่องดื่มเป็นรอบสุดท้ายไหม ต้องหยุดก่อน 21.00 น. ตกลงได้ขายจริงก็แค่ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เปิดแบบนี้ก็เหมือนไม่เปิด เป็นนโยบายที่ไม่เข้าใจคนทำธุรกิจว่าวันสิ้นเดือนคือที่ตัดสินว่าตัวเขาและธุรกิจจะสิ้นใจหรือไม่
.
นายเท่าพิภพ ระบุอีกว่า คิดว่าข้อเรียกร้องของสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยขอขยายเป็น 23.00 น. สามารถทำได้และความจริงก็ควรเปิดเป็นเวลาปกติไปเลย เนื่องจากการควบคุมโรคระบาดปัญหาไม่ใช่เรื่องเวลา เรื่องกลางวัน หรือกลางคืน นอกจากนี้อยากให้ผู้บริหารนโยบายประเทศนี้เลิกเสียทีกับการเอาการดื่มสุราในร้านอาหาร หรือธุรกิจกลางคืนมาเป็นแพะรับบาปในการปัดความผิดพลาดจากการกำกับนโยบายสาธารณสุขของภาครัฐ ทั้งการบริหารแผนวัคซีน หรือการตรวจเชิงรุกต่างๆ ส่วนการเปิดประเทศในครั้งนี้มองว่าจะล้มเหลวตั้งแต่ไม่เริ่ม เพราะธุรกิจกลางคืนคือสีสันของกรุงเทพฯ เป็นเอกลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและสำคัญไม่แพ้วัดวังต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากจะมาสัมผัส
.
“ผมจึงหวังว่าโอกาสที่คนกรุงเทพฯได้เลือกใหม่จะมาถึงเร็วๆ นี้ เพราะหากวันหนึ่งวันใดที่เรามีผู้ว่าฯกทม. ที่มาจากการเลือกตั้งได้ เชื่อว่าการออกนโยบายสำหรับเมืองมหานครและผู้คนในเมืองคงดีกว่านี้ และเมื่อวันนั้นมาถึง เราคงได้ดื่มหมดแก้วเพื่อฉลองกันในโอกาสที่ได้เห็นผู้ว่าฯอัศวินของคณะรัฐประหารกลับบ้านไป”นายเท่าพิภพ กล่าว
.
- Advertisement -